ญี่ปุ่น ขาวอมชมพู

ญี่ปุ่น ขาวอมชมพู

ในที่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอาจเพราะไม่ค่อยมีคนไปถึง แต่ในที่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักไม่ได้แปลว่าที่นั่นจะไม่น่าไปเที่ยว...

โทโฮขุ (Tohoku-chiho) เป็นตัวอย่างที่ดีของดินแดนที่แทบจะไม่มีคน (ไทย) รู้จัก บางคนอาจคุ้นชื่อ แต่น้อยคนที่เคยไป เพราะโทโฮขุไม่ใช่ญี่ปุ่นในความเคยชินของนักท่องเที่ยว แต่โทโฮขุเป็นภูมิภาคที่รวบรวมทุกความเป็นญี่ปุ่นไว้ครบครัน และเกือบทั้งหมดยังรักษากลิ่นอายดั้งเดิมไว้ได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะยามที่ดอกซากุระบาน...


อย่างที่รู้กันดีว่าซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติญี่ปุ่น และซากุระก็มีอยู่ทั่วประเทศ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ญี่ปุ่นจะค่อยๆ ปกคลุมด้วยดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่ง โดยที่จะบานไล่ขึ้นไปจากตอนใต้ขึ้นไปตอนเหนือ แน่นอนว่านักท่องเที่ยวบ้านเรานิยมไปชมซากุระบานที่ภาคกลางอย่างโตเกียวและจังหวัดข้างเคียง ไม่ใช่ว่าซากุระที่โตเกียวไม่สวย แต่ยังมีอีกหลายที่ที่ ‘ฟิน’ กว่า

‘ฟิน’ ในดินแดนหวาน+เย็น


จากโตเกียวไปถึงโทโฮขุ หากนับเป็นกิโลเมตรก็ถือว่าไกลโข แต่เมื่อเรากำลังเดินทางในประเทศที่มีระบบขนส่งมวลชนดีติดอันดับโลก จากเมืองหลวงสู่ภาคอีสานแห่งแดนอาทิตย์อุทัยก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มีทั้งรถไฟชินคันเซ็นและรถไฟ JR ให้โดยสารกัน ใครเดินทางเองแค่ศึกษาเส้นทางแล้วทำตามขั้นตอน...ไม่หลงทาง แต่หลงรักการเดินทางแบบนี้แน่นอน


โทโฮขุประกอบด้วย 6 จังหวัด คือ อะคิตะ, อาโอโมริ, ฟุคุชิมะ, อิวาเตะ, มิยางิ และยะมะงะตะ ถ้าอยากดื่มด่ำกับความงามของแต่ละจังหวัดในภูมิภาคนี้แบบเต็มตาแนะนำให้มาช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมซึ่งเป็นจังหวะที่ซากุระทางภาคกลางเริ่มหมด แต่ที่นี่กำลังบานสะพรั่ง บวกกับอากาศเย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ทั้งภูมิภาค สำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราคงฟินน่าดู


โทโฮขุเป็นภูมิภาคใหญ่ ไปครั้งเดียวอาจเที่ยวไม่หมด แต่ที่กำลังจะเล่าคือสิ่งที่ต้องจดจำ


เริ่มด้วยจังหวัดชื่อคุ้นหูอย่างฟุคุชิมะ (Fukushima) ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวจากวิกฤติการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมื่อปี 2554 แต่วันนี้ฟุคุชิมะกลับมาสวยสดใสยิ่งกว่าเดิม แน่นอนว่ามาที่นี่ช่วงฤดูซากุระต้องไปชมซากุระเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปีแถมยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่าง Miharu Taki - Zakura นับเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่คนรักซากุระต้องมาชมและเก็บภาพเป็นที่ระลึกให้ได้


ไม่ใช่แค่สีมพูอ่อนหวานแต่ซากุระต้นนี้เป็นก้านยาวย้อยลงมาคล้ายน้ำตก ยามอยู่นิ่งก็งดงามน่าชม ยามต้องลมก็พริ้วไหวดุจสายน้ำสีชมพู สะกดทุกสายตาของนักท่องเที่ยวได้อยู่หมัด แม้ในวันที่ฟ้าครึ้มซากุระต้นนี้ก็ยังงดงามอยู่ แค่ไม่เปล่งประกายมากนักก็เท่านั้น


และที่น่าเสียดายนิดหน่อยคือวันที่ไปเป็นช่วงปลายฤดู Miharu จึงไม่ออกดอกบานแน่นเต็มต้นเหมือนที่เคยเป็น


ถ้าซากุระต้นเดียวยังไม่หนำใจ ที่ฟุคุชิมะยังมีอีกหนึ่งสถานที่ชมซากุระซึ่งต้องห้ามพลาด นั่นคือ ภูเขาฮานามิยะมะ (Hanamiyama) แม้ชื่อจะคล้ายข้าวเกรียบกุ้งบ้านเราแต่ไม่เกี่ยวกัน ทว่าถ้าจะให้เกี่ยวก็คงเป็นที่คอนเซปต์ข้าวเกรียบรวยเพื่อน เพราะภูเขาลูกนี้มีเพื่อนเยอะแยะ ทั้งเพื่อนที่เป็นพรรณไม้นานาและนักท่องเที่ยวเนืองแน่น


แน่นอนว่าเพื่อนคนสำคัญคือซากุระที่ไม่ได้มากันแค่ต้นเดียว แต่มาเต็มภูเขา!


อดีตฮานามิยะมะเป็นภูเขาธรรมดา อยู่มาวันหนึ่งมีชาวสวนนำซากุระหลายสายพันธุ์มาปลูก ผ่านไปหลายปีซากุระไม่กี่ต้นก็ขยายพันธุ์จนบานสะพรั่งเต็มภูเขา ในปีค.ศ.1959 ชาวบ้านจึงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาชมความงามสุดอลังการ ทำให้ที่นี่ได้รับยกย่องว่าเป็นแหล่งชมซากุระที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว


การชมซากุระที่นี่คือการเดินไปบนเนินเขา นอกจากซากุระยังมีพรรณไม้มากมายให้ชมด้วย ส่วนด้านล่างคือทุ่งดอกเรปซีด (Rapeseed หรือ Canola) สีเหลืองอร่าม ตัดกับสีชมพูของซากุระงดงามจนไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหนเลย

โลกนี้เป็นสีชมพู


แม้จะถูกสะกดด้วยมนตราแห่งดอกซากุระและทุ่งเรปซีด แต่อย่างไรก็ต้องเดินทางต่อ เพราะจากฟุคุชิมะที่หมายถัดไปคือ จังหวัดอิวาเตะ (Iwate) จังหวัดเกือบเหนือสุดของเกาะฮอนชู เป็นจังหวัดที่ขนาดใหญ่อันดับสองรองจากฮอกไกโด แต่จำนวนประชากรกลับเบาบางที่สุดในภูมิภาค ดังนั้นจึงเหลือพื้นที่ให้ธรรมชาติสุดตระการตารอนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัส มีทั้งชมพูหวานแหววอย่างซากุระแล้วก็ขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะตามสไตล์ญี่ปุ่นด้วย... 

จะบอกว่าทริปนี้รวบรวมแหล่งชมซากุระติดอันดับของญี่ปุ่นไว้ก็ว่าได้ เพราะที่อิวาเตะมีแหล่งชมซากุระแจ่มๆ ถึงสองแห่ง ที่แรกคือ Kitakami Tenshochi ในความคิดเห็นส่วนตัว ถือเป็นไฮไลท์ของการชมซากุระเลยทีเดียว เพราะมีครบทั้งความงาม ปริมาณ ถ้าไม่เข้าใจคำว่า ‘บานสะพรั่ง’ ให้มาที่นี่ รับรองว่า ‘ตายตาหลับ’


คิตะคามิเทนโชจิ มีพื้นที่กว้างถึง 293 เฮคเตอร์ หรือใหญ่กว่าโตเกียวโดม 62 เท่า คิตะคามิเทนโชจิจึงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จุดเด่นคือต้นซากุระเรียงรายเลียบแม่น้ำคิตะคามิเป็นระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร แม้ระยะทางจะไกลแต่เดินกันเพลิดเพลินลืมเหนื่อย สำหรับคนขี้เกียจเดินก็มีรถม้าให้บริการ แถมยังไม่ใช่รถม้าธรรมดา เพราะเขาตกแต่งได้สวยงามเข้ากันดีกับบรรยากาศที่นั่น ละเอียดลออสมกับเป็นญี่ปุ่นจริงๆ


ช่วงที่ผมไปราวเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมจะตรงกับช่วงเทศกาลวันเด็กผู้ชาย ที่นี่จึงมีธงปลาคาร์ฟเป็นอีกสีสันที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม ถ้าให้คะแนนผมให้ที่นี่เต็มสิบ! เพราะฟินมาก...(ลากเสียงยาว)


อิ่มใจไปแล้วก็ได้เวลาอิ่มท้อง ขอบอกว่าวินาทีต่อจากนี้ไม่มีคำว่าล้อเล่น เพราะเรากำลังจะเข้าสู่สมรภูมิ ใครอ่อนแอมีแต่คำว่าแพ้กลับบ้าน...


กลายเป็นร้านอาหารดังสุดขีดประจำจังหวัดอิวาเตะไปแล้วสำหรับ วังโกะโซบะ (Wankosoba) เพราะนอกจากบรรยากาศน่านั่งสไตล์ญี่ปุ่น อาหารของร้านนี้ยังอร่อยและกินสนุกอย่าบอกใครเชียว


โซบะเส้นเหนียวนุ่มทำมาจากแป้งบัควีต เสิร์ฟมาในชามเล็กพอดีคำ เรามีหน้าที่กินโซบะในชาม หมดแล้วยกชามไว้จะมีพนักงานเทโซบะเพิ่มให้ กิน-เติม-กิน-เติม อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะอิ่ม แต่เพื่อไม่ให้เอือมโซบะ ทางร้านมีเครื่องเคียงให้สองสามอย่าง เช่น หมูสับ สาหร่าย กินสลับกับโซบะเพลินปากดีแท้ และมีถังให้เทน้ำซุปที่ติดมากับโซบะเพื่อจะได้กินเส้นกันมากๆ (แต่ผมไม่เห็นถัง เลยกินทั้งน้ำทั้งเส้นจนหมดเกลี้ยงทุกชาม)


เผลอแป๊บเดียวเพื่อนร่วมทริปทุกคนวางชามวางตะเกียบกันหมด เหลือเพียงผมที่เอร็ดอร่อยกับโซบะชามจิ๋วนี้ไม่หยุด รู้ตัวอีกทีทุกสายตาจับจ้อง ความอายจึงช่วยเบรคให้ยุติสงครามโซบะที่ยืดเยื้อยาวนานหลายสิบชาม ทันทีที่พนักงานเข้ามานับจำนวนชาม ถึงกับอึ้ง! ผมฟังไม่ออกแต่ล่ามแปลให้ฟังว่า “ผมคือแชมเปี้ยน!” จำนวน 75 ชามที่ผมกิน อาจไม่ใช่แชมป์ประจำร้าน แต่อย่างน้อยก็คว้าแชมป์ให้ชาวไทย


...เพราะผมเป็นคนไทยคนเดียวในกลุ่ม (ภูมิใจอย่างประหลาด ฮ่าๆ)


เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราแบกท้องหนักอึ้งไปยัง Morioka Castle Site Park หรือ สวนอิวาเตะ (Iwate Park) สวนแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทโมริโอกะในยุครุ่งเรืองของโชกุนและซามูไร ต่อมาเกิดสงครามโบชินระหว่างฝ่ายโชกุนและฝ่ายสนับสนุนองค์จักรพรรดิ สุดท้ายฝ่ายโชกุนพ่ายแพ้และปราสาทก็เสียหายมากจนต้องรื้อถอนออกไปเมื่อปีค.ศ.1874 จนกระทั่งปีค.ศ.1906 ทางการเริ่มบูรณะเป็นสวนสาธารณะ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิต้นซากุระรอบๆ สวนจะบานสะพรั่ง ชาวอิวาเตะมักจะมานั่งปิกนิกกันที่นี่ ถ้ามีเวลามากแนะนำให้นั่งซึมซับบรรยากาศสุดชิล หาเครื่องดื่มเย็นๆ กับของกินเล่นสักอย่างสองอย่าง กินไปชมซากุระไป เผลอๆ จะหมดวันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ถ้ามีเวลาเหลือ ให้มุ่งหน้าไปที่ Salada Farm เพราะที่นั่นมีสตรอว์เบอร์รี่ผลโตหลากหลายพันธุ์ให้ได้เก็บกินไม่อั้น คล้ายบุฟเฟ่ต์ผลไม้ที่สวนทางภาคตะวันออกของบ้านเรานิยมทำกัน และด้วความที่สตรอว์เบอร์รี่ที่นี่เก็บกินได้เลย ก็การันตีได้ว่าปลอดสารพิษ เพราะปลูกในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิ กันแมลง ผลสตรอว์เบอร์รี่ที่นี่จึงสด ใหญ่ หวาน กรอบ อร่อยมาก


แต่ใช่ว่ามาถึงจะเก็บกินได้เลย เพราะของดีต้องมีเทคนิคกันหน่อย ทางฟาร์มจะแจกถาดพร้อมกรรไกรให้ เงื่อนไขของที่นี่คือกินไม่อั้น แต่ห้ามจับผลสตรอว์เบอร์รี่ที่อยู่กับต้นโดยตรง ต้องการกินลูกไหนให้นำถาดไปรองไว้แล้วใช้กรรไกรตัดที่ขั้ว หลังจากนั้นค่อยหยิบกิน และเพื่อเพิ่มระดับความโออิชิ ทางฟาร์มมีนมข้นให้จิ้มกินด้วย...อะไรจะปานนั้น

ว้าว! ขาวอมชมพู


มีทั้งเรื่องกินและเรื่องฟิน ตอนนี้เรายังอยู่กันที่อิวาเตะ เพราะอยากที่บอกไปว่าไม่ได้มีแค่ซากุระสีชมพู แต่สถานที่ต่อไปจะทำให้ทุกคนต้องร้อง “ว้าว!” เพราะมันขาวโอโม่


แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิซึ่งอากาศเริ่มอบอุ่นบ้างแล้ว แต่ที่โทโฮขุยังถือว่าหนาวเย็น ยิ่งเป็นจังหวัดตอนบนยิ่งหนาว นักท่องเที่ยวยังมีโอกาสได้สัมผัสหิมะและภูเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุมได้อยู่ เราค่อยๆ ออกจากตัวเมืองสู่พื้นที่รอบนอกเพื่อไปสัมผัสธรรมชาติของอิวาเตะ จนกระทั่งไปถึง Appi Grand Hotel ซึ่งตั้งอยู่ตรงเชิงเขา Appi ที่นี่นอกจากเป็นโรงแรมแล้วยังเป็น Ski Hotel หรือโรงแรมสำหรับนักสกีด้วย ด้วยความที่อยู่ตรงเชิงเขา Appi อันขาวโพลนด้วยหิมะ เพียงนั่งกระเช้าขึ้นไปที่ยอดเขาก็เล่นสกีได้แล้ว


กระเช้าค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป พื้นล่างคือหิมะสีขาวดุจปุยเมฆ สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสหิมะแบบจังๆ อย่างผม นี่คือประสบการณ์สุดตื่นเต้น เมื่อกระเช้าพาไปถึงบนเขาลูกนี้ ระดับความตื่นเต้นก็พุ่งทะลุชั้นบรรยากาศโลก ผมเคยเห็นหิมะที่หิมาลัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบลงบนหิมะ มันเย็น มันสนุก แต่มันลื่นมาก ถ้าเดินไม่ดีก็มีสิทธิก้นจ้ำเบ้าได้


เดินย่ำไปบนหิมะเหมือนได้อยู่บนน้ำแข็งใสถ้วยยักษ์ เสียง “สวบ..สวบ..” ของแต่ละก้าวดูทุลักทุเลชอบกล เราเดินไปถึงจุดชมวิวบน Appi ทิวทัศน์แบบพาโนรามาทำเอาผมนึกคำบรรยายไม่ออก บอกได้แต่ว่า “แม้หิมะจะหนาวเย็น แต่กลับทำให้หัวใจของคนละลาย”


ถ้ายังทุลักทุเลไม่พอ เอ้ย! ถ้ายังสัมผัสธรรมชาติและหิมะไม่พอ ต้องไปต่อที่ ฮะชิมันไต (Hachimantai) ด้วยความที่เป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่ และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโทวะตะ-ฮะชิมันไต จึงเต็มไปด้วยเนินเขาสลับซับซ้อน ทะเลสาบ บ่อน้ำแร่เก่าแก่มากมาย ส่วนช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาชนิดผลิบานเต็มภูเขา นอกจากนั้นยังมีเส้นทางหิมะให้ตื่นตาตื่นใจจนต้องอ้าปากค้างกันด้วย


ถนนทอดยาวขึ้นสู่ภูเขา สองข้างทางคือหิมะจำนวนมหาศาลที่ถูกโกยไว้ด้านข้างจนกลายเป็นเหมือนกำแพงสีขาวขนาดใหญ่ ขณะที่รถแล่นไปเหมือนกำลังผ่านไปยังอีกมิติหนึ่งที่มีเส้นทางระหว่างมิติแสนงดงามชวนตะลึง ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะได้ลงจากรถไปสัมผัสกำแพงหิมะนี้ แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันแย่งพื้นที่หน้ารถรัวชัตเตอร์เก็บภาพขณะรถแล่นไปตามเส้นทาง วินาทีนั้นใครดีใครได้ ผมเองเมื่อจับจองพื้นที่ได้ก็ไม่กระดิกไปไหน ถ่ายภาพมาซะเมมโมรี่การ์ดเกือบเต็ม


จนกระทั่งรถจอดสนิท เสียงประตูรถเปิดเป็นดั่งสัญญาณปล่อยตัวนักกีฬา ทุกคนรีบลงจากรถเพื่อจะได้เห็นกำแพงหิมะเต็มๆ ตา ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะมันสุดอลังการ งดงาม เป็นประสบการณ์ที่จะจดจำไปจนวันตาย โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนเผลอ ผมก็ลองซึมซับความเจ๋งของกำแพงหิมะอย่างถึงแก่น โดยลองชิม ไม่บอกแล้วกันว่ารสชาติเป็นอย่างไร อยากให้ทุกคนได้ลองชิมเอง (คำเตือน : ระวังท้องเสีย)


เปลี่ยนบรรยากาศจากความขาวและความหนาวมาเดินชิลที่ Kakunodate เยี่ยมชมบ้านซามูไร แค่มองจากภายนอกรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณแห่งชาวอาทิตย์อุทัย ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปก็เหมือนหลุดไปในสมัยเอโดะยุคซามูไรรุ่งเรือง ทั้งตัวบ้านและสิ่งของเครื่องใช้ยังถูกเก็บรักษาอย่างดี นอกจากได้เห็นฉากหลังของประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับซามูไรที่น้อยคนนักจะรู้ ที่นี่น่าจะถูกใจเด็กผู้ชายผู้หลงใหลจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เยี่ยงสุภาพบุรุษ


เมื่อออกมาข้างนอกกลับแตกต่างสุดขั้วแต่ก็เข้ากันดี บ้านซามูไรสัญญะของความกล้าแกร่ง กับต้นซากุระเรียงรายสองข้างถนน ผลิดอกอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ถ้าเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทะเลสาบจะได้เห็นซากุระนับร้อยต้นแข่งกันออกดอกเนรมิตให้ริมทะเลสาบกลายเป็นสีชมพู เป็นอีกจุดที่คนรักซากุระพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง...


นอกจากความขาวอมชมพูที่ได้เล่าไปนั้น โทโฮขุยังมีอีกหลายสีสันทั้งที่เปิดเผยและหลบเร้นอยู่ในทุกจังหวัด รอคอยนักท่องเที่ยวให้ไปค้นหา บางทีคำว่า ‘ญี่ปุ่น’ ในความนึกถึงของบางคนอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล