ศาลออกหมายจับ'ทักษิณ' สั่งการปล่อยกู้กฤษฎานคร ล้างหนี้

ศาลออกหมายจับ'ทักษิณ' สั่งการปล่อยกู้กฤษฎานคร ล้างหนี้

ศาลฎีกาฯมีคำสั่งออกหมายจับ"ทักษิณ"จำเลยที่ 1มาดำเนินคดีสั่งการจำเลย2-4กรรมการบริหารแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้กว่าหมื่นล้าน เอื้อกฤษฎานครล้างหนี้

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 ส.ค.58 นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยฯ , นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ และกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยฯ , กรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยฯ , คณะกรรมการสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทยฯ , กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในเครือกฤษดามหานคร

และ 3 บริษัทในเครือกฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-27 ในความผิดฐานร่วมกัน เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 โดยอัยการสูงสุด ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 27 ราย สรุปว่าเมื่อวันที่ 8 ก.ย.46 - 30 เม.ย.47 จำเลยทั้ง 27 ราย แบ่งหน้าที่กันทำ

โดย พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น จำเลยที่ 1 สั่งการให้ จำเลยที่ 2-4 ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร อนุมัติสินเชื่อ ให้สินเชื่อจำเลยที่ 18, 19 , 20 ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มบมจ.กฤษดามหานคร โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าวมีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจากผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้

แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก

ทั้งนี้ในชั้นพิจารณา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ได้หลบหนีคดี องค์คณะฯ จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนจำเลยที่ 2-27 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา 

ขณะที่องค์คณะฯ พิเคราะห์พยานหลักฐาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ธนาคารกรุงไทยฯ มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ เนื่องจากมีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูและของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งถือครองหุ้นธนาคารกรุงไทยเกินร้อยละ 50 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามนิยามของพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด ของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่จำเลยต่อสู้ว่าธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและไม่อาจฟ้องจำเลยตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานฯ จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนจำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 และบริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 โดยฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ ธ.222/2545 เรื่องนโยบายสินเชื่อที่กำหนด ให้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อ และคำสั่งของธนาคารกรุงไทยเรื่องความเสี่ยงของการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ 

องค์คณะฯ เห็นว่า จากการไต่สวน และพยานซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัททั้งสอง รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 18-19 มีจำเลยที่ 23-25 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และบริษัทดังกล่าวก็อยู่ในเครือของ บมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ซึ่งจำเลยที่ 18-20 ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมาก กับสถาบันการเงินหลายแห่ง ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันหลายปี มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกิดการขาดทุนสะสมหลายปี ทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง ความสามารถในการหารายได้ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้

ซึ่งบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ก็ถูกธนาคารกรุงไทยฯ ผู้เสียหาย กำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้ก่อหนี้สินเชื่ออีก อีกทั้งในการเสนอขอสินเชื่อของบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 แม้ว่าจำเลยจะไม่เคยเป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงไทยฯ และอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร แต่เป็นการอ้างขายให้กับจำเลยที่ 20 ซึ่งมีไม่อยู่ในสถานะมั่นคงในการหารายได้ หรือมีเงินที่จะซื้อที่ได้ 

ส่วนที่บริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 เสนอขอสินเชื่ออ้างทำโครงการกฤษดาซิตี้ 4000 แต่ก็ไม่มีแผนงาน พิมพ์เขียว รายงานแสดงงบประมาณ แต่เพิ่งมาทำก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภายหลังก็มีการอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปทำการรีไฟแนนซ์ ที่บริษัทเป็นหนี้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการเจรจาหนี้จนลดลงที่ต้องชำระ 4,500 ล้านบาท และจะนำเงิน 500 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน และอีก 1,400 ล้านบาท นำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้ฯ

แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ที่ดินที่มีการอ้างว่าจะทำโครงการนั้น มีชื่อบุคคลภายนอกถือครองกรรมสิทธิ์กว่า 100 ไร่ และภายหลังจำเลยที่ 19 ยังยื่นขอสินเชื่อเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้โดยขอเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 19 ไม่ตั้งใจทำโครงการตามที่อ้างขอเสนอสินเชื่อ ซึ่งโครงการที่มีการเสนอขอสินเชื่อนั้นถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินที่สูง แต่จำเลยกลับไม่มีรายละเอียดและข้อมูลที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโครงการ

โดยที่การตรวจสอบก่อนจะเสนอขอสินเชื่อ ของบริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 5-17 ซึ่งเป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ โดยจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นประธานกรรมการพิจารณาสินเชื่อที่มี บมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 เป็นลุกค้า ก็ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้วถึงข้อมูลว่าบริษัทจำเลยที่ 18-19 เป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 20 ซึ่งเป็นหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หลายครั้ง จนถูกห้ามก่อหนี้เพิ่ม และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่จำเลยที่ 5-17 ยังคงเสนอให้อนุมัติสินเชื่อให้กับจำเลยทั้งสอง โดยให้ความเห็นว่าอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงพอรับได้ และการกระทำดังกล่าวยังเป็นในลักษณะเร่งรีบเพื่อปล่อยกู้ให้ทัน เป็นการเปิดช่องให้จำเลยทั้งสองนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินอื่นและซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้คืนเพื่อให้จำเลยที่ 20 กลับมามีอำนาจการบริหารในอนาคต จากเดิมที่มีสถานะไม่มั่นคง

ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ซึ่งเป็นกรรมการสินเชื่ออนุมัติ ยินยอมอนุมัติวงเงินให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ สร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทยและประชาชนที่ฝากเงิน 

ส่วนที่ ร.ท.สุชาย อดีตประธานกรรมการบริหาร ธ.กรุงไทยฯ , นายวิโรจน์ อดีต กก.ผจก.ธ.กรุงไทยฯ และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบริหาร ธ.กรุงไทยฯ จำเลยที่ 2-4 อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ให้กับ บจก.แกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำเลยที่ 22 นั้น องค์คณะฯ เห็นว่า การที่นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3 ให้เครดิตการชำระเงินขายหุ้นให้นานถึง 4 เดือน และยังมีการมอบฉันทะให้บจก.แกรนด์คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ บมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20

แม้ว่าหุ้นจะไม่ใช่สินเชื่อ แต่ลักษณะของการดำเนินการดังกล่าว ก็เป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องนโยบายสินเชื่อ ในการวิเคราะห์ความสี่ยง ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2-4 ดังกล่าว ทำให้ธนาคารกรุงไทยขายหุ้นไปโดยไม่ได้รับการชำระค่าหุ้น และการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจนมีการลงคะแนนเสียงลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ ทำให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะเป็นการให้สินเชื่อในกรณีพิเศษ

ส่วนที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิดหรือสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 นั้น ได้ความจากพยาน ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอส หรือซุปเปอร์บอสได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคตส. พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่1 กันแน่ แม้จะมีอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทจำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1 พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่าบิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1

จึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 2-5 , 8-27 กระทำผิดจริงในการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ให้จำคุก ร.ท.สุชาย อดีตประธานกรรมการบริหาร ธ.กรุงไทยฯ จำเลยที่ 2 , นายวิโรจน์ อดีต กก.ผจก.ธ.กรุงไทยฯ จำเลยที่ 3 , นายมัฌชิมา กรรมการบริหาร ธ.กรุงไทย จำเลยที่ 4 และ นายไพโรจน์ รัตนะโสภา กรรมการสินเชื่อ ธ.กรุงไทยฯ จำเลยที่ 12 คนละ 18 ปี ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 ซึ่งเป็นบทหนักสุด 

ส่วนจำเลยที่ 5 , 8-11,13-17 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทยและกรรมการสินเชื่อ ให้จำคุกคนละ 12 ปี ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ฯ ม.4 เช่นกัน

และนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 23 ,นายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 24 , นายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 , นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ จำเลยที่ 26 และนายไมตรี เหลืองนิมิตมาศ จำเลยที่ 27 ซึ่งกลุ่ม กก.ผู้มีอำนาจบริษัทเครือกฤษฎาและเครือญาติ ให้จำคุกคนละ 12 ปีเช่นกัน

ทั้งนี้ องค์คณะฯ ยังมีคำพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 18 - 22 ซึ่งเป็นบริษัทนิติบุคคล รายละ 26,000 บาทด้วย หากจำเลยที่ 18-22 ไม่ชำระค่าปรับก็ให้กักขังแทนค่าปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29

และพิพากษาให้ บมจ.กฤษฎามหานครจำเลยที่ 20 , นายวิชัย กฤษฎาธานนท์ จำเลยที่ 25 และนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ จำเลยที่ 26 ร่วมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท ชดใช้ธนาคารกรุงไทยฯ ผู้เสียหายด้วย โดยให้นายวิโรจน์ อดีต กก.ผจก.ธ.กรุงไทยฯ จำเลยที่ 3 , บจก.แกรนด์ฯ จำเลยที่ 22 และนายไมตรี จำเลยที่ 27 ร่วมรับผิดการชดใช้เงิน 9,554,467,480 บาท และจำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24 ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท ขณะที่จำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450 ล้านบาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาท

สำหรับนายนรินทร์ ดรุนัยธร และ นางนงนุช เทียนไพฑูรย์ กรรมการสินเชื่อ จำเลยที่ 6-7 นั้น องค์คณะฯ มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาญาติจำเลยมีอาการโศกเศร้า บางรายถึงกับร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถเรือนจำมารับจำเลยเพื่อไปควบคุมตัวต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป

สำหรับจำเลยทั้ง 27 ราย แบ่งเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่มนักการเมือง ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1

กลุ่มคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วย ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ จำเลยที่ 2 , นายวิโรจน์ นวลแข จำเลยที่ 3 และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา จำเลยที่ 4 

กลุ่มคณะกรรมการสินเชื่อ ประกอบด้วย นายพงศธร ศิริโยธิน จำเลยที่ 5 , นายนรินทร์ ดรุนัยธร จำเลยที่ 6 , นางนงนุช เทียนไพฑูรย์ จำเลยที่ 7 , นายโสมนัส ชุติมา จำเลยที่ 8 , นายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ จำเลยที่ 9 , นายวันชัย ธนิตติราภรณ์จำเลยที่ 10 และนายบุญเลิศ ศรีเจริญ จำเลยที่ 11 

กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อ คือ นายประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล จำเลยที่ 13 , นางกุลวดี สุวรรณวงศ์ จำเลยที่ 14 , นางสุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ จำเลยที่ 15 , นายประวิทย์ อดีตโต จำเลยที่ 16 , นางศิริวรรณ ชินอิสระยศ จำเลยที่ 17 และนายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่ 12

กลุ่มนิติบุคคลทั้งหมด คือ บริษัทอาร์เคฯ โดยนายบัญชา ยินดี และ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 18 , บริษัทโกลเด้นฯ โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา และนายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 19 , บริษัทกฤษดามหานครฯ โดยนางปรานอม แสงสุวรรณเมฆา และนายธเนศวร สิงคาลวณิช นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ จำเลยที่ 20 , บริษัทโบนัสบอร์น จำกัด โดยนายชุมพร เกิดไพบูลย์รัตน์ จำเลยที่ 21 , บริษัทแกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 22

กลุ่มผู้แทนนิติบุคคลเป็นการส่วนตัวทั้งหมด ประกอบด้วย นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 23 , นายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 24 , นายวิชัย กฤษดาธานนท์จำเลยที่ 25 , นายรัชฎากฤษดาธานนท์ จำเลยที่ 26 และ นายไมตรี เหลืองนิมิตมาศ จำเลยที่ 27