Property Sector - Neutral

Property Sector - Neutral

กลุ่มที่อยู่อาศัยรายเล็ก..กับโอกาสการถูกซื้อกิจการ

สาเหตุการเข้าซื้อกิจการในกลุ่มที่อยู่อาศัยรายเล็ก

จากในช่วงต้นปี 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก อยู่ในความสนใจของการเข้าซื้อกิจการ (Take Over) จากผู้ประกอบการรายใหญ่จากผู้ประกอบการทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ สาเหตุจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแรง ส่งผลต่อกระทบต่อผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กจากการแข่งขันในตลาดสูง รวมถึงสินค้าขายที่ขาย และ ฐานเงินทุน ที่จำกัด ทำให้การสร้างชื่อของสินค้าเพื่อการขยายตัว เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องทำได้ยากมากขึ้น ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อโครงการของธนาคารพาณิชย์ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ส่งผลต่อผู้ประกอบการรายใหญ่หรือผู้ถือหุ้นรายอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า จากฐานเงินทุนสูง พร้อมการลงทุนต่อยอดธุรกิจต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่น นอกเหนือจากธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนหุ้นรวมถึงการขายหุ้น ภายหลังจากการเจรจากับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเงื่อนไขและราคาเป็นที่น่าพอใจ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายกิจการ ซึ่งเราคาดว่าในอนาคต มีโอกาสสูงที่เหตุการณ์การซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นในผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กได้ 

จุดเริ่มต้นจาก PRIN และ MK

บริษัทที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างบริษัท และผู้ถือหุ้นที่เกิดขึ้นชัดเจน ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาคือ MK ผู้ถือหุ้นใหญ่ นามสกุล“ตั้งมติธรรม” ได้มีการขายหุ้นจำนวน 20.6% ให้กับผู้ถือหุ้นใหม่ คือคุณสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ์ ซึ่งหลังการเข้าซื้อกิจการ และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ ได้มีการปรับกลยุทธ์ขยายธุรกิจเพิ่มเหนือจากที่อยู่อาศัย โดยการเพิ่มทุนและเข้าซื้อบริษัทพรอสเพค จก. เข้าสู่ธุรกิจอาคารโรงงาน และคลังสินค้าให้เช่า และอีกบริษัทคือ PRIN ซึ่งได้มีซื้อกิจการเป็นเงินสด และเพิ่มทุน ให้กับบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง จก.(KPNH) มีผลทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่เปลี่ยนมือเป็น กลุ่ม “ณรงค์เดช”เข้าถือหุ้นใน PRIN หลังเพิ่มทุนในสัดส่วน 30% โดยมีสินทรัพย์จากโครงการคอนโดมีเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ที่สามารถบันทึกรายได้ภายในสิ้นปี 2558 คือ โครงการ เดอะ แคปปิตอล ราชวิภา และ เดอะ แคปปิตอล เอกมัย-ทองหล่อเป็นการแลกเปลี่ยน

มูลค่าทางบัญชีต่ำ..สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเป้าหมาย

เราได้คัดกรองบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มที่อยู่อาศัย จากเงื่อนไขที่มีความเป็นไปได้ต่อการถูกเข้าซื้อกิจการ ภายใต้คุณสมบัติเดียวกับ PRIN และ MK จาก 4 เงื่อนไขคือ (1) Market Cap ต่ำกว่า 5พันล้านบาท (2) ปัจจุบันมีการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (3) มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน ต่ำกว่า 1.5 เท่าและ (4) มีผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ซึ่งจากเงื่อนไข ทั้ง 4 ข้อดังกล่าว บริษัทที่เข้าเกณฑ์ที่เราคาดว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ และ นักลงทุนนอกตลาดที่สนใจ และมีโอกาสเข้าซื้อกิจการคือ ESTAR LALIN NCH RICHY และ SENA โดยผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างขยายธุรกิจอื่นเพิ่ม เช่น SENA อยู่ระหว่างลงทุนธุรกิจพลังงาน Solar Farm และ RICHY ซื้อโครงการใหม่เสริม