รู้ เห็น เป็น จริง

รู้ เห็น เป็น จริง

อยากเป็นมากกว่าพุทธในทะเบียนบ้าน หรือพุทธที่รู้แต่ในตำรา จะก้าวเดินอย่างไร...

คงเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า บางคนบอกว่า ฉันเป็นพุทธโดยทะเบียนบ้าน ฉันไม่นับถือศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครตัดสินว่า ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่อยากจะบอกว่า แนวทางพุทธที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือ ธรรมชาติที่มีอยู่ และเป็นอยู่ เพียงแต่ใครหรือผู้ใดจะรู้ เห็น เป็น จริง แล้วนำมาใช้กับชีวิต

เนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ลองกลับมาทบทวนตัวเองแบบชาวพุทธที่รู้เท่าทันมายาคติของโลกใบนี้

และนี่คือ ทัศนะของคนตัวเล็กๆ ที่เกี่ยวโยงกับทางธรรม ทั้งผู้ใฝ่รู้ และผู้เห็นธรรมในธรรมชาติ

 

ช่วงวัย ช่วยได้

  ธรรมะจะมีประโยชน์ ก็ต่อเมื่อนำมาใช้กับชีวิต แต่บางคนมีธรรมะอยู่ในตัวเอง โดยไม่ต้องใฝ่หา เพราะธรรมะก็คือ ธรรมชาติ เหมือนเช่นที่ ไพรสนธ์ นันตาวงศ์ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด โรงเรียนมังกรกมลาวาสวิทยาลัย บอกว่า การเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจ บางทีก็อยู่ที่ช่วงวัย

ในช่วงวัยหนึ่ง เขาเอง แม้จะสนใจเรื่องพุทธศาสนา แต่ก็ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แค่รู้สึกดีๆ ก็แค่นั้น

“ผมเองเป็นคนที่สนใจเรื่องสมาธิ วิปัสสนา แต่ในช่วงวัยรุ่นไม่เข้าใจเลย ลมปราณเป็นยังไง ไม่รู้หรอก ผมชอบอ่านนวนิยายกำลังภายใน และอยากรู้ว่า นั่งสมาธิจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นนั่งสมาธิแล้วมีความสุข ไม่คิดอะไร ก็นั่งไป”

อาศัยว่า เป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ และหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอเรื่องพระ เขาอ่านพบว่า มีคนนั่งสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่ ก็อยากลองดูสิว่า จะเห็นอะไร

“เมื่อผมโตขึ้น ผมก็เข้าใจเองว่า เราต้องไม่ยึดติด สิ่งสำคัญคือ ต้องมีกัลยาณมิตรที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ เดี๋ยวก็มีเพื่อนดีๆ มาแนะนำ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เราปฎิบัติธรรม"

เหตุผลดังกล่าว ยังไม่ทำให้เขาเข้าใจแนวทางพุทธอย่างที่ควรจะเป็น จนเมื่อมีโอกาสเข้าไปทำงานอยู่ในแวดวงโรงเรียนวิถีพุทธ เขาบอกว่า ได้ปฎิบัติจริงๆ เจอครูบาอาจารย์ทางธรรมที่ดี ก็เริ่มเข้าใจคำสอน จะเรียกว่า ธรรมะจัดสรรก็ได้นะ

“ผมได้ทำงานกับเด็กๆ และครูโรงเรียนวิถีพุทธ ทำให้ผมรู้ว่า คัมภีร์ทางธรรมที่ให้เด็กหรือผู้ใหญ่อ่าน บางทีอ่านไม่รู้เรื่องหรอก ต้องแปลเป็นภาษาง่ายๆ หรือทำเป็นการ์ตูนให้เด็กอ่าน จะโดนใจมากกว่า “

เขาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า คนรุ่นใหม่หรือเด็กๆ จะชอบดูรูปภาพมากกว่าอ่านตัวอักษรเยอะๆ และเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ

“การเรียนรู้เรื่องธรรมะต้องอาศัยเวลา หนังสือบางเล่ม เราเคยอ่านไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง ก็อ่านเข้าใจ ผมคิดว่า ธรรมะสามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ เวลาเรามีความทุกข์ เราจะไวมากที่จะหาช่องทางออกจากทุกข์ ไม่เก็บมาคิดมากเกินไป”

 

แค่ปลายจมูก ก็ช่วยได้

ส่วนเรื่องราวของคนใกล้วัด ตอนที่เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คุณยายและคุณแม่มักจะพาไปทำบุญใส่บาตร และนอนในวัด วันนี้ เธอจึงทำงานทางธรรมอย่างมีความสุข

สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ (พี่สาวแม่ชีศันสนีย์) เลขาธิการ มูลนิธิเสถียรธรรมสถาน ย้อนถามว่า เวลาเราทุกข์ เรากลับไปอยู่ตรงไหน

“ลมหายใจไง ลมหายใจที่อ่อนโยน ทำให้เราสบายใจมากขึ้น” เธอ บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วเล่าต่อว่า เพราะแม่และยายสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคงให้เราตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเวลาทำงานอะไร เราก็มีฐานที่มั่นคง ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่รับผิดชอบทุกอย่าง แม้จะทำได้ไม่ดี เราก็รู้ว่า เราต้องรับผลที่ทำ

“วันพระยายต้องไปวัด เราก็ต้องไปกับยาย ยายนอนในโบสถ์ เราก็นอนกับยาย แม้ตอนนั้นเราเป็นเด็ก ไม่อยากเข้าวัด ก็ต้องไป เพราะเรารักยาย เราซึมซับเรื่องเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว พอโตขึ้น มีปัญหาก็เข้าวัด สงบดี ” สายสัมพันธ์ หรือป้าตุ๋ม เล่าถึงชีวิตที่อยู่กับธรรม โดยเฉพาะในช่วงวัยนี้ เมื่อมีหน้าที่ต้องดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในเสถียรธรรมสถาน เธอก็ทำอย่างเบิกบาน

“บางทีคนเราไม่ต้องเข้าวัดก็ได้ แต่อย่างน้อยๆ ต้องทบทวนตัวเอง สิ่งที่ทำอยู่ เป็นทุกข์หรือสุข เราต้องวิเคราะห์ตัวเองได้ และนำตัวเองออกจากทุกข์ให้ได้”

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การกลับมาอยู่กับลมหายใจ ก็เพื่อให้รู้แจ้งว่า ในวินาทีนั้นทุกข์หรือสุข ซึ่งสำคัญกว่าการปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยว

“ลองสังเกตดูสิ เวลาเราเหนื่อยๆ เราค่อยๆ หายใจช้าๆ ไม่กระหือกระหอบ เรารู้ดีแค่ไหน แค่รู้สึกโล่ง โปร่ง สบายก็มั่นคงแล้ว ต้องทดลองทำ ถ้าลองปฎิบัติแล้ว ไม่ดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าครูบาอาจารย์ไม่ดี ต้องกลับมาดูว่า เราเพียรพยายามเพียงพอไหม"

การทำตัวให้เป็นประโยชน์ และเกื้อกูลต่อคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่‘สายสัมพันธ์’ ทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน อย่างไม่เบื่อหน่าย และเมื่อใดที่ใครมีโอกาสได้พูดคุยหรือปรึกษาเธอ ก็จะพบพาความสบายใจกลับบ้านไปด้วย

คนที่อยากมีความสุข แล้วไปแสวงหาความทุกข์ จะสุขได้ยังไง ถ้าอยากมีความสุข ก็ต้องไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นคนอื่นดีกว่า ก็ไม่ต้องทุกข์ อย่าหยิบความทุกข์มาใส่ตัว อย่างเรา ถ้าทำอะไรแล้วโปร่ง โล่ง สบาย ก็มั่นใจว่า ใช่สำหรับเรา”

ใครๆ ก็อยากเลือกความสุขทั้งนั้น แต่เมื่อใดมีความทุกข์เข้ามาเยือน สายสัมพันธ์ บอกว่า ก่อนที่อารมณ์จะไปไกลกว่านั้น ให้หันมาอยู่กับลมหายใจอย่างอ่อนโยน

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร เราต่างมีลมหายใจ นำความรู้สึกมาอยู่กับลมหายใจ ดูจิตตัวเอง หยุดคิดชั่ว หรือ หยุดคิดอกุศลทั้งหมด”

ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ

  “เราจะคิดแบบเอาใจเขา มาใส่ใจเรา พอเราได้เรียนรู้ อ่าน ฟัง เรื่องทางธรรม ก็รู้สึกว่าใช่เลย เป็นวิถีธรรมดา เพราะเรามีพื้นฐานแบบชาวพุทธ ศีล 5 นั่นก็คือ เอาใจเขา มาใส่ใจเรา ถ้าเราไม่ทำร้ายใคร แล้วโดนทำร้ายจะเป็นยังไง จริงๆ แล้วธรรมะก็คือ การใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ” อโนชา ปัทมดิลก นักเขียน ผู้ก่อตั้งเพจ “ทำอาหารกินเอง” และเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ‘Hippie โฮมเมด’ เล่า

เธอ บอกว่า ไม่ได้ศึกษาทางธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ศึกษาโดยการใช้ชีวิต ด้วยการเปรียบเทียบว่า เรื่องใดดี เลว และงาม ไม่งาม เมื่อไหร่ที่เราคิดทำร้ายคนอื่น ก็ผิดศีลแล้วละ

“ถ้าศึกษาอย่างลึกซึ้ง บางคนเรียนทางธรรมมาเยอะ ก็เกิดภาวะอัตตาสูง คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราเห็นเยอะมาก คนที่ศึกษาธรรมไปบวชพราหมณ์ ปฎิบัติธรรม แต่เวลาโพสต์เฟสบุ้คด่าคนแบบหยาบคาย แบบนี้จะเรียกว่ามีธรรมะไหม เพราะสิ่งที่เขาปฎิบัติกับสิ่งที่เขาพูดขัดแย้งกัน”

อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า ตัวเธอเอง จะไม่ด่วนสรุป หรือ ตัดสินใคร จากสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง หรือ อ่านเรื่องราวของเขามา

“เราต้องมองให้ลึก เพราะใจคนมีอะไรเยอะแยะ อีกอย่างเราไม่ได้คิดว่า พุทธต้องดีที่สุด อิสลามบอกว่า ให้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ก็ถูกนะ ง่ายๆ เลย แค่คุณรักใครสักคน ก็ควรจะรักคนเดียวในเวลานั้น ส่วนแนวทางคริสต์ แม้เราจะไม่ลึกซึ้งอะไรมากมาย แต่การสารภาพบาปของพวกเขา ก็เพราะคนเราเมื่อทำผิดอัดอั้นตันใจรู้สึกไม่ดี ก็ต้องอยากระบายกับใครสักคน และคนที่เราจะระบายได้ ก็ต้องเป็นคนที่เราไว้เนื้อเชื้อใจ เราคิดว่า นี่เป็นวิถีธรรมชาติ ศาสดาทั้งหมดคงพิจารณามาแล้ว มนุษย์เป็นแบบนี้แหละ อะไรที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์”

เพื่อให้ชีวิตที่ทำรังแต่พอตัว มีความสุข เธอบอกว่า ในทางธรรม ก็ไม่ได้ศึกษาอะไรที่ลึกซึ้ง ก็แค่ใช้ธรรมะ เพื่อพาชีวิตให้สมดุล ทุกข์น้อยที่สุด

“เพราะเราเป็นนักเขียน เราก็ตั้งคำถามตลอดเวลาว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และธรรมะนี่แหละที่ทำให้เราไม่มักง่าย ไม่ด่วนตัดสินใคร และทำให้เราเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่คนอื่นทำ มันเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”

ธรรมะในวิถีของเธอ จึงเป็นไปตามธรรมชาติและครรลองของชีวิต เธอ บอกว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องรู้ หรือ ท่องพระไตรปิฏกหรือตำราทางธรรมอะไรก็ได้ ก่อนอื่นคุณต้องเมตตาคนอื่นก่อน

“ในช่วง15 ปีที่ผ่านมา เราค่อยๆ เติบโตทางความคิด เราหวั่นไหวต่อสิ่งเร้ารอบข้างน้อยลง ไม่รู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็น เกินกว่าที่เราเป็นอยู่ เรารู้แค่ว่า ชีวิตเรามีแค่นี้ เราพอดีแล้วละ เราไม่สะสมอะไรแล้ว ซึ่งการไม่สะสม ไม่แสวงหาอะไร ต้องอยู่บนพื้นฐานความพอดีกับชีวิตตัวเอง ชีวิตเราต้องไม่แย่

“อย่างเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เราก็มานั่งคิดดู เราแปลว่าใช้ตามฐานะ คุณมีเงินสามารถซื้อรถเบนซ์ได้ ก็ซื้อ ถ้าไม่สามารถซื้อได้ ก็นั่งรถเมล์ เราเองไม่ต้องการมากกว่านี้ แค่นี้พอแล้ว เพราะเราต้องการความสุขสงบ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะเมื่อใดเราไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ชีวิตคุณไม่สงบแล้ว” ผู้ก่อตั้งเพจ “ทำอาหารกินเอง” กล่าวเช่นนั้น

และเธอย้ำระหว่างพูดคุยว่า

  “ธรรมะง่ายๆ เลย เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ชอบอะไร ก็อย่าไปทำกับคนอื่น

 ......................

ความเห็นแจ้ง

  เมื่อวันสำคัญทางพุทธศาสนาเวียนมาถึง ก็เพื่อที่จะให้ชาวพุทธระลึกถึงคำสอนและนำไปปฏิบัติ สิ่งสำคัญ คือ การปฏิบัติเพื่อละลดกิเลสในตัวเรา เหมือนเช่นที่ท่านอาจารย์พุทธทาส สอนไว้ว่า

“ถ้าเราจะคิดไปตามแนวของเหตุผล ทำการวินิจฉัยลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตากันสักเท่าไรก็ตามมัน ก็ได้แค่ความเข้าใจ ไม่มีทางให้เกิดความสลดสังเวชได้ ไม่มีทางให้เกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งหลายในโลกได้ ขอให้เข้าใจว่า กิริยาอาการที่จิตใจเบื่อหน่าย คลายความอยากจากสิ่งที่เคยหลงรักนั่นแหละ คือ ตัวความเห็นแจ้งในที่นี้..”

ด้วยเหตุประการฉะนี้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนในเรื่อง ความเห็นแจ้ง จึงไม่ใช่การคิดตามเหตุผลเหมือนที่ใช้ในปัจจุบัน หรือปัญญาแบบโลกๆ

ท่านอาจารย์พุทธทาส สอนไว้ว่า มันถูกในโลกสมมติที่เราเข้าใจเอาเอง

ดังนั้นการรู้แจ้ง เห็นแจ้ง ต้องใช้ปัญญาที่ลึกซึ้งพิจารณาด้วยตนเอง จนรู้แจ้งในจิตว่า

“แท้จริงแล้วชีวิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา”

ธรรมะ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ส่วนใครจะรู้ เห็น เป็น จริง ก็ต้องนำมาใช้กับชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกศาสนาสอน แม้จะต่างแนวทาง แต่หนทางเดียวกัน ก็คือ ความสุขสงบ