TOP - ซื้อ

TOP - ซื้อ

คาดกำไร 2Q58 +177%YoY, 28%QoQ

ประเด็นสำคัญในการลงทุน : 

คาด TOP จะรายงานกำไรสุทธิ 2Q58 ที่ 5.8 พันล้านบาท : ฝ่ายวิจัยคาดว่า TOP จะประกาศกำไรในไตรมาส 2 ที่ 5,794 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากทุกธุรกิจ แม้ว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวลงจากไตรมาส 1 ประมาณ 20% เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานปรับตัวลงจาก 1Q58 ประมาณ 3.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อีกทั้งต้นทุนปรับตัวขึ้นจากพรีเมียมน้ำมันดิบแหล่ง Murban เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวลงแต่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบเข้ามาชดเชยประมาณ 2.1 พันล้านบาท สำหรับธุรกิจ Aromatic กลับมาใช้กำลังการผลิต 88% จากไตรมาสก่อนที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 66% เนื่องจากไตรมาส 1 ธุรกิจ Aromatic ขาดทุนจากราคาขายผลิตภัณฑ์ต่ำแต่ต้นทุนสูง สำหรับ 2Q58 ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้ง Paraxylene และ Benzene ยังทรงตัว แต่ได้มีการปรับราคาขายประจำปีส่งผลให้ธุรกิจ Aromatic กลับมาสร้างกำไรอีกครั้ง ธุรกิจน้ำมันเครื่องสามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่องหลังส่วนต่างราคาน้ำมันเครื่องและน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนต่างราคายางมะตอยและน้ำมันเตาปรับตัวลงเล็กน้อยแต่ยังคงเป็นบวก

คาดขาดทุนจากค่าเงินบาท 1.2 พันล้านบาท : จากการที่ค่าเงินบาท ณ สิ้นเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งอ่อนค่า 1.2 บาทต่อดอลลาร์ จาก ณ สิ้นเดือนมี.ค.ที่ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งตามสมมติฐานของเรา TOP มีสถานะเงินตราต่างประเทศสุทธิเป็นหนี้สินเหลือประมาณ 1,050 ล้านดอลลาร์ หลังจากมีการคืนหนี้ไป 350 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้คาดว่าจะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1.2 พันล้านบาท

ได้รับผลบวกจากการประหยัดภาษี BOI และ Loss Carrying Forward : ในปีนี้ทาง TOP ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจาก BOI ซึ่งสามารถใช้ได้ถึงปี 2019 และมีการใช้ผลขาดทุนจากไตรมาส 4 ปี 57 มาเพื่อลดการจ่ายภาษีในไตรมาส 2 นี้ได้ อย่างไรก็ตามสิทธิประโยชน์ทางภาษีใช้ได้เฉพาะธุรกิจโรงกลั่น ส่งผลให้อัตราภาษีทั้งปีจะยังคงต่ำกว่า 20 % ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี

ปรับคำแนะนำจาก “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” เป็น “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายที่ 62.00 บาท : แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 มีแนวโน้มที่จะสูงที่สุดในปีนี้ แต่ในไตรมาส 3 ค่าการกลั่นเริ่มปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญอีกทั้งราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรที่ 11,402 ล้านบาทไว้ก่อน โดยอาจมีการปรับประมาณการเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ TOP ด้วยวิธี P/E Ratio อิง Prospective P/E ที่ 11 เท่า คาดการณ์ EPS ที่ 5.6 บาททำให้ได้ราคาเหมาะสมปี 58 ที่ 62 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุด 20% จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงต่อเนื่องหลังออกบทวิเคราะห์ฉบับก่อนจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”