ช่วงพักฐานยังไม่จบ

ช่วงพักฐานยังไม่จบ

เริ่มเก็บสะสมหุ้นเมื่อดัชนีปรับฐานลงแรง โดยเฉพาะเมื่อใกล้ 1400 จุด เก็งกำไรรายตัวระยะสั้น

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : ช่วงพักฐานยังไม่จบ

ตลาดไทยวันนี้มีโอกาสลงต่อ เนื่องจากความกังวลเรื่องตลาดหุ้นจีนที่ปรับลงแรงที่สุดในรอบ 8 ปีเมื่อวานนี้ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงต่อเนื่องจากประเด็นการขุดเจาะและผลิตน้ำมันของสหรัฐและอิรัก นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งสหรัฐและในประเทศไทยสำหรับ Q2 ยังไม่ค่อยได้เห็น big positive surpeise จากบริษัทใหญ่ๆและนักลงทุนต่างรอการประชุมเฟดที่จะเริ่มวันนี้ เพื่อชี้ทิศทางดอกเบี้ยอีกรอบ ตลาดในวันนี้จึงขาดปัจจัยใหม่ๆมาสนับสนุน และอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงอยู่บ้างก่อนช่วงหยุดยาวในสัปดาห์นี้

แนวรับ/แนวต้าน : 1400/1450 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%

กลยุทธ์ : เริ่มเก็บสะสมหุ้นเมื่อดัชนีปรับฐานลงแรง โดยเฉพาะเมื่อใกล้ 1400 จุด เก็งกำไรรายตัวระยะสั้น เน้นหุ้นที่จะรายงานงบไตรมาส 2 ออกมาแข็งแกร่ง ส่วนระยะยาวเน้นปันผลสูงและ defensive เป็นหลัก

นักลงทุนระยะสั้น : SCC (600), PTTGC (76)

SCC (600) เราคาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิที่ 14,100 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้น 27% qoq และ 65.7% yoy เทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 10,000-11,000 ล้านบาท ปัจจัยที่ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก 1) กำไรสุทธิจากกลุ่มเคมีภัณฑ์ซึ่งคาดเติบโตขึ้นมากที่ 62% qoq อยู่ที่ 8,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 จากสเปรด PP ที่สูงขึ้น สเปรด HDPE ที่สูงขึ้น 2) พลิกฟื้นจากที่รับรู้ inventory loss ที่ 930 ล้านบาทในไตรมาส 1/58 มารับรู้ inventory gain ที่ 1,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 3) รับรู้รายได้จากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงตามฤดูกาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโตโยต้าและบริษัทในเครืออื่นๆ ที่โดยปกติแล้วจะจ่ายเงินปันผลก้อนใหญ่ในไตรมาส 2 และ 4) คาดว่าบริษัทฯ จะรับรู้ forex gain ที่ 1,000 ล้านบาทจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯเราให้มูลค่าหุ้น SCC ที่ 600.00 บาทอิงด้วยวิธี SOTP หรือ WACC ที่ 7.5% และ terminal growth ที่ 1% และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 58 จะอยู่ที่ 39,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% yoy

PTTGC (76) ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนเช่นกัน UOBKH เราคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/58 จะต่ำที่สุดของปีนี้ ธุรกิจโอเลฟินส์และ derivative จะยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตที่สำคัญในปี 58 ขณะที่ราคา HDPE ที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบันจะช่วยหนุนกำไรสุทธิของ PTTGC ให้มากขึ้นเนื่องจาก 60-65% ของกำไรสุทธิขึ้นอยู่กับราคา HDPE แถมราคาหุ้น PTTGC ณ ปัจจุบันซื้อขายในระดับถูกด้วย 2015F PE ที่ 8 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 9 เท่าด้วย รอจังหวะย่อๆมาซัก 65 ซื้อเก็บกินปันผลหรือเล่นสั้นก็ได้นะครับ

นักลงทุนระยะยาว : ADVANC (270), BDMS (25.50)

ADVANC (270) UOBKH เรามองประเด็นบวกจากการประมูล 4G เป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ อย่างที่เราเคยเก็บข้อมูลการประมูล 3G ที่ผ่านมาก็ทำให้ Telco sector ขึ้นมา 40-50%เลย ภายใน 7 วันหลังจากประมูลเสร็จ โดยเราเชื่อว่า AIS จะได้ประโยชน์จากการประมูลนี้ที่สุด เพราะจะลดความกังวลเกี่ยวกับ การขาดเเคลน spectrum โดยคลื่น 900 MHz ของ AIS จะหมดอายุสัมปทานเดือน ก.ย.ปีนี้ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ AIS ก็น่าจะทำสถิติใหม่ได้ใน Q3-Q4 เพราะไม่ต้องบันทึกค่าเสื่อมจากคลื่น 900MHz ที่ปกติจะบันทึกประมาณ 2,000 ล้านบาท/ไตรมาส ดังนั้น AIS เป็นหุ้น Top pick ของเรา Target price 270 บาท ปันผลก็สูงด้วยอยู่ที่ 5%

BDMS (25.50) ยังคงแนะนำซื้ออยู่ โดยขณะนี้ BDMS มี upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 28% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 28% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี



ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

- ส่งออกเดือน มิ.ย.ร่วงหนัก 7.87% ติดลบต่อเนื่อง เดือนที่ 6 มากสุดรอบ 3 ปีครึ่ง เหตุส่งออกรถกระบะ ทรุดหนัก 48.3% จากการเปลี่ยนรุ่น ขณะที่ตลาดหลักลดลง โดยเฉพาะสหรัฐติดลบครั้งแรกรอบ 9 เดือน หวังบาทอ่อนดันยอดครึ่งปีหลัง ด้าน"เอกชน-นักเศรษฐศาสตร์"รับปีนี้หมดโอกาสขยายตัว หวั่นทรุดยาว ขณะ สรท.เล็งปรับเป้า คาดติดลบ 2-3.5%

- ค้าปลีกวูบ"หนี้ครัวเรือนสูง-กำลังซื้อ รากหญ้าหาย" ฉุดธุรกิจครึ่งปีแรกโตต่ำ 2.8% ชี้ 6 เดือนหลังไร้สัญญาณบวก คาดปีนี้โตต่ำ 3% ระบุกลุ่มซ่อมแซม-สร้างบ้าน-ไฮเปอร์มาร์เก็ต น่าห่วง กระทุ้งรัฐเร่งขับเคลื่อนเมกะโปรเจค ส่งเสริมท่องเที่ยว ทบทวนลดภาษีนำเข้า ฟื้นเศรษฐกิจ

- ดัชนีหุ้นไทยร่วง 25 จุด ต่ำสุดรอบ 14 เดือนหลังปัจจัยใน-นอก รุมเร้า ทั้งตลาดหุ้นจีนร่วงแรง จากเศรษฐกิจที่ชะลอเกินคาด ฉุดส่งออกไทยติดลบต่อเนื่อง ขณะนักลงทุนกังวล ข่าวปรับ ครม. หวั่นทำนโยบายรัฐสะดุด กระทบความเชื่อมั่น

ปัจจัยต่างประเทศ

- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,440.59 จุด ร่วงลง 127.94 จุด หรือ -0.73%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วันทำการ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นจีนและยุโรป โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ปิดตลาดดิ่งลงกว่า 8% เมื่อวานนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

- ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 74.68 จุด หรือ 1.13% ที่ระดับ 6,505.13 จุด

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) โดยดัชนีแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวดับเศรษฐกิจจีนชะลอตัว

+ สัญญาน้ำมันดิบ ส่งมอบเดือน ก.ย.ลดลง 75 เซนต์ ปิดที่ 47.39 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงเกินไป หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า อิหร่านอาจจะผลิตและส่งออกน้ำมันได้มากขึ้น เมื่อการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านมีผลบังคับใช้