พักฐานลง

พักฐานลง

เรามองประเด็นกรีซจะทำให้หุ้นไทยขยับลงชั่วคราวและเป็นโอกาสดีในการซื้อหุ้น เลือกหุ้นเป็นรายตัว

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : พักฐานลง

ตลาดไทยเมื่อวานเกิด Technical rebound ตามคาด แต่วันนี้ภาวะตลาดคงไม่สวยงามนัก เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากประเด็นกรีซ หลังจากที่ผู้นำยุโรปประกาศให้ deadline ถึงแค่วันอาทิตย์นี้ที่กรีซจะต้องส่งแผนปฎิรูปประเทศตามที่ EU ต้องการ หรือไม่กรีซอาจจะต้องออกจากยูโรโซน ตลาดไทยในช่วงนี้เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ๆมาสนับสนุนและราคาน้ำมันดิบยังไม่ฟื้นตัวดีก็มีแนวโน้มสูงที่จะถูกกดดันด้วยประเด็นกรีซต่อ

แนวรับ/แนวต้าน : 1470/1490 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

กลยุทธ์ : เรามองประเด็นกรีซจะทำให้หุ้นไทยขยับลงชั่วคราวและเป็นโอกาสดีในการซื้อหุ้น เลือกหุ้นเป็นรายตัว เน้น story และพื้นฐานดี ปันผลสูงและควรทยอยขายบ้างเมื่อมีกำไร

นักลงทุนระยะสั้น :    CK (30), SPCG (31)

CK (30) ขอฝากหุ้นพื้นฐานดีเอาไว้เล่นสั้นกันอีกตัวเป็น CK ครับ โดยการขายหุ้นของบริษัทไซยบุรีจะเพิ่มกำไรก่อนหักภาษีปีนี้ถึง 1.6 พันล้านบาท ส่วนทางด้านการควบรวม BECL และ BMCL ก็กำลังไปได้ดี โดยบริษัทใหม่ BEM จะเข้าเทรดชช่วงไตรมาส 3 นี้ นอกจากนี้กำไรปกติปีนี้ก็จะโตขึ้นได้ดี โดยมีงาน Backlog ในมืออยู่แล้ว 87,000 ล้านบาท และเร็วๆนี้จะเพิ่มมาอีกไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาทด้วย ถือเป็น Top pick ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ เนื่องจากมีบริษัทลูกที่แข็งแกร่งเยอะ และ valuation ก็น่าสนใจกว่า STEC และ ITD ด้วย

SPCG (31) เหมาะอย่างยิ่งกับการ trade ทำกำไรระยะสั้น (ซื้อ 26 ขาย 27.50) โดยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว เช่น 1.)เตรียมรับรู้รายได้ได้เต็มปีจากโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 โครงการหรือ 206MW ส่งผลให้รายได้และกำไรปีนี้เติบโตอย่างชัดเจน 2.)ไตรมาส 3 จะมีดีลเข้าซื้อโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 100MW 3.)ร่วมมือกับ Home Pro เพื่อจัดจำหน่ายอุปกรณ์ solar roof เพื่อเพิ่มรายได้ ประกอบกับ P/E ต่ำเพียง 13 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง GUNKUL, DEMCO, และ IFEC ดังนั้นแนะนำ SPCG เป็นตัวเด่นกลุ่มพลังงานทดแทนและเอาไว้เล่นสั้นนะครับ


นักลงทุนระยะยาว : BDMS (25.50), CENTEL (43.50)

BDMS (25.50) เคยแนะนำไปแล้วในงาน Money Channel 11 ปี ว่าเป็นหุ้น Defensive ที่น่าเก็บสะสมตอน 19 บาท ตอนนี้ใกล้ 20 บาท ยังคงแนะนำซื้ออยู่ โดยขณะนี้ BDMS มี upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 28% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 28% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี ถือยาวได้ถึงสิ้นปีนี้เลย

CENTEL (43.50) เรายังมองว่าถือไปได้ต่อนะครับ โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ CENTEL จะขยายตัวขึ้นแข็งแกร่งที่ 43.6% yoy อยู่ที่ 1,706.8 ล้านบาทในปี 58 จากผลการดำเนินงานของโรงแรมในกรุงเทพฯ ประกอบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจาก Centara Kata Resort ภูเก็ตจากการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมอีก 50% รวมทั้งธุรกิจอาหารที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องและ EBITDA margin ของอาหารที่ดีขึ้นแถมการพัฒนาโรงแรมใหม่ตามแผนและทรัพย์สินโรงแรมเดิมในหัวหิน พัทยาและภูเก็ตที่ขยายตัวขึ้นจะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว การพัฒนาตามแผนของบริษัทฯ ประกอบไปด้วย 1) รีสอร์ทของตัวเอง 2 แห่งที่มัลดีฟ 2) JV ที่สัดส่วน 50:50 กับพันธมิตรในประเทศสำหรับการพัฒนาโรงแรมในพม่าและศรีลังกาและ 3) การพัฒนาโรงแรม Cosi ของตัวเองอีก 2 แห่ง ราคา target 43.50 น่าจะได้เห็นปีนี้ไม่ยากเลย แต่ก็อย่าลืม Take profit นะครับ





ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

- ธปท.จับตาเศรษฐกิจจีน หลังตลาดเงิน-ทุน ป่วนหนัก หวั่นโตต่ำคาดฉุดส่งออกและกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ด้านทางการจีนยืนยันมีศักยภาพรับมือความเสี่ยงได้

- นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คือ สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กกร.ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2558 จากเดิมคาดไว้โต 3.5% เหลือเป็นโต 3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ทำให้การส่งออกฟื้นตัวต่ำกว่าคาด ส่งออกปีนี้จะติดลบ 2% จากเดิมคาดโตไม่ถึง 1%

- ตลาดหุ้นไทย 6 เดือนแรกปีนี้ถูกปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งเศรษฐกิจชะลอ-โรคระบาด-ภัยแล้ง-ปัญหาแรงงานประมง-กรีซวิกฤติ ส่งผล กระทบกำไร บจ. นักลงทุนพากันเทขายหุ้นดัชนีวูบยืนต่ำกว่า 1,500 จุด มาร์เก็ตแคป สูญกว่า 8.5 แสนล้าน เหลือ 1.38 ล้านล้าน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติถล่มขายต่อเนื่อง

ปัจจัยต่างประเทศ

+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,776.91 จุด เพิ่มขึ้น 93.33 จุด หรือ +0.53%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายและจับตาดูการเจรจาปัญหาหนี้กรีซของบรรดาผู้นำยุโรป

+ สัญญาน้ำมันดิบ ส่งมอบเดือน ส.ค.ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 52.33 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้กรีซ และจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันนี้