หุ้นสหรัฐฟื้นตัว
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (7 ก.ค.) ในแดนบวก ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวนตลอดทั้งวัน
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับขึ้นมา 93.33 จุด หรือ 0.53% ปิดซื้อขายที่ 17,776.91 จุด หลังจากที่ในช่วงเช้าร่วงลงไปมากกว่า 200 จุด ขณะที่ดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ทะยานขึ้นมา 12.58 จุด หรือ 0.61% ที่ 2,081.34 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับขึ้น 5.52 จุด หรือ 0.11% ที่ 4,997.46 จุด
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตลาดเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากการดิ่งลงของตลาดหุ้นจีน ที่เป็นสัญญาณว่า รัฐบาลจีนล้มเหลวในความพยายามที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ โดยนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นจีนร่วงลงไปแล้วมากกว่า 30%
นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องกรีซ ยังเป็นปัจจัยที่เกาะติดตลาดตลาดอยู่ ส่วนการที่ตลาดสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ในช่วงบ่ายนั้น เทรดเดอร์ชี้ว่า เป็นการฟื้นตัวทางเทคนิค หลังจากที่ราคาหุ้นร่วงลงไปใกล้ถึงระดับวิกฤติ
ความวิตกในเรื่องการเจรจาหาข้อตกลงระหว่างกรีซ กับกลุ่มเจ้าหนี้ ยังเป็นสาเหตุหลักที่กดให้ดัชนีหุ้นหลักๆ ของยุโรป ยังยืนอยู่ในแดนลบ
ดัชนีแค็ก 40 ของฝรั่งเศสดิ่งลงไปอีก 2.27% มาอยู่ที่ 4,604.64 จุด ส่วนดัชนีแด็กซ์ ของเยอรมนี ลดลงอีก 1.96% ที่ 10,676.78 จุด และดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ของอังกฤษ ลดลง 1.58% ปิดซื้อขายที่ 6,432.21 จุด
น้ำมันไร้ทิศทางชัดเจน
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่แสดงทิศทางชัดเจนออกมา หลังนักลงทุนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน และกังวลเพิ่มมากขึ้นถึงความต้องการน้ำมันที่อาจซบเซาลงมากขึ้น จากเรื่องวิกฤติหนี้กรีซ และความพยายามที่จะสกัดขาลงของตลาดหุ้นจีนประเทศผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่สุดของโลก
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท ส่งมอบเดือนส.ค. ที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ ปรับลงมาเล็กน้อย 20 เซนต์ มาอยู่ที่ 52.33 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล สวนทางกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ส่งมอบเดือนเดียวกัน ที่ตลาดลอนดอน อังกฤษ ที่ขยับขึ้น 31 เซนต์ มาอยู่ที่ 56.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล