'จาตุรนต์' สอนมวยทหาร กรณีจับขัง14นศ.

'จาตุรนต์' สอนมวยทหาร กรณีจับขัง14นศ.

"อ๋อย จาตุรนต์" โวมีหลายสถานะ โพสต์สอนมวยทหาร กรณีจับขัง14นศ.

เพจเฟซบุ๊คนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษา และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจับกุม 14 นศ.ช่วงเช้าวันนี้ ระบุว่า ตอน ๒ กรณีนักศึกษา 14 คน ในฐานะผู้ที่ทำงานด้านการศึกษามาบ้างคิดว่า เยาวชนในโลกปัจจุบันควรได้รับการส่งเสริมให้รู้จักคิดวิเคราะห์ กล้าแสดงออกและสนใจทำประโยชน์เพื่อสังคม ส่วนมหาวิทยาลัยก็ควรมีเสรีภาพทางวิชาการจึงจะสามารถผลิตความรู้และคนที่มีคุณภาพได้ นักศึกษา 14 คนเป็นตัวอย่างของการกล้าคิดกล้าแสดงออกในสิ่งที่เห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้ยังได้แสดงถึงความยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อสิ่งที่นักศึกษาเหล่านี้ได้รับกลับกลายเป็นการถูกจับกุมคุมขัง ตั้งข้อหาร้ายแรงที่มีบทลงโทษสูงถึงขนาดจำคุกรวมกันถึง 10 ปี ทั้งยังต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหารเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณที่ขัดกันกับทิศทางที่ควรจะเป็นสำหรับการศึกษาของเยาวชน

ในฐานะที่เป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารด้วยข้อหาร้ายแรงเพียงเพราะการพูดเสนอให้มีการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ผมเข้าใจดีว่านักศึกษาที่ถูกคุมขังรวมทั้งญาติมิตรและประชาชนผู้สนใจจะรู้สึกว่า นักศึกษาเหล่านี้กำลังได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร ยิ่งถ้ามีการบีบคั้นกลั่นแกล้งในเรือนจำ ความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมก็จะยิ่งมีมากขึ้น

ในฐานะที่เคยเป็นนักศึกษาที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาก่อน แม้จะนานมากมาแล้วก็ตาม ผมคิดว่า สิ่งหนึ่งที่น่าจะกระทบความรู้สึกของนักศึกษาและผู้ที่เข้าใจนักศึกษามากเป็นพิเศษ ก็คือ การถูกกล่าวหาว่ามีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองหนุนหลังหรือบงการอยู่ จากประสบการณ์ของผม การที่นักศึกษาที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงขั้นยอมลำบากตามอุดมการณ์เพื่อบ้านเมืองจะถูกจูงจมูกจากใครเป็นเรื่องที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย แต่นั่นก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผม เรื่องจริงเป็นอย่างไรควรจะมีการตรวจสอบและพิสูจน์กันให้ชัดเจนต่อไป ไม่ใช่กล่าวหากันลอยๆ เพราะหากมีแต่การกล่าวหากันลอยๆ ก็จะกลายเป็นการพูดที่ทำให้เกิดความเกลียดชังเสียเปล่าๆ

ที่อยากจะให้ความเห็นในอีกสถานะหนึ่งก็คือ การที่ผมเป็นผู้ที่ได้รับการขอให้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรองดองและกำลังจัดทำข้อเสนอเพิ่มเติมอยู่ กรณีนักศึกษา 14 คนกำลังจะมีผลกระทบต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งและกระบวนการปรองดองไม่น้อยทีเดียว

มีการศึกษาจำนวนมากพบว่า การที่ความขัดแย้งในสังคมทับถมมากขึ้นเรื่อยๆจนต้องมาหาทางปรองดองกันอยู่นี้ มีสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การใช้กฎหมายโดยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

ขณะนี้ทางการเสนอว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ ขณะเดียวกันก็มีการปฏิเสธว่า การใช้มาตรา 44 นิรโทษนักศึกษา 14 คน ไม่สามารถทำได้ ทั้งๆที่นักศึกษาและผู้สนับสนุนทั้งหลายก็ไม่ได้เสนอให้มีการนิรโทษแต่อย่างใด ควรจะมีการพิจารณาว่า อย่างไรเป็นไปตามหลักนิติธรรม และอย่างไรไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

คำว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ นั้นฟังดู ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิด แต่ ‘กฎหมาย’ ที่ว่านั้น จะต้องเป็นกฎหมายที่เป็นธรรม คือ มีที่มาที่ชอบธรรมและมีเนื้อหาที่เป็นธรรมด้วย ต้องไม่ลืมว่า ในระบบปัจจุบัน คสช.และบุคคล คือกฎหมาย จะสั่งอะไรก็เป็นกฎหมายไปหมด การที่เยาวชนนักศึกษาต้องขึ้นศาลทหารจะบอกว่า เป็นไปตามกฎหมายก็ได้ แต่ไม่ใช่กฎหมายปรกติ หากเกิดจากคำสั่งคสช. ดังนั้นคำว่า ‘กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย’ จึงไม่แน่เสมอไปว่า จะสอดคล้องกับหลักนิติธรรม นอกจากนั้นการตั้งข้อหาร้ายแรงเกินกว่าเหตุ ก็ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมด้วย

สำหรับการเสนอให้ใช้มาตรา 44 นิรโทษนักศึกษาซึ่งทางการก็ได้ปฏิเสธไปแล้วนั้น ผมเข้าใจว่า ไม่ใช่ความประสงค์ของนักศึกษาหรือผู้สนับสนุนนักศึกษาแต่อย่างใดเลย หากทำไปก็จะเกิดการตีความที่สับสนวุ่นวายเสียเปล่าๆ

ความจริงการจะปล่อยตัวนักศึกษา 14 คนไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ทำ ‘กฎหมายให้เป็นกฎหมาย’ ที่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม คำสั่งอะไรที่ไม่ชอบธรรมก็แก้เสีย ไม่ตั้งข้อหาที่ร้ายแรงเกินกว่าเหตุ ไม่ใช้เวลาสอบสวนให้นานเกินความจำเป็น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขอฝากขังให้ยืดเยื้อต่อไป ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องนิรโทษใครแต่อย่างใดเลย

การใช้กฎหมายอย่างสอดคล้องกับหลักนิติธรรมจะช่วยลดความขัดแย้งและไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง