ก.คลังร่วมลงนามจัดตั้งธนาคารAIIB

ก.คลังร่วมลงนามจัดตั้งธนาคารAIIB

กระทรวงคลัง เข้าร่วมลงนามจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย คาดเริ่มดำเนินการได้ช่วงต้นปี 59 เป็นต้นไป

นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมพิธีลงนามในความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank:AIIB ) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานของ AIIB ในระยะต่อไป รวมถึงแนวทางการคัดเลือกตำแหน่งประธานชั่วคราว (President-Designate) เพื่อทำหน้าที่บริหารธนาคารฯ ในช่วงก่อนที่ AIIB จะมีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2559

ในครั้งนี้มีประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 50 ประเทศได้ลงนาม ในความตกลงฯ ดังกล่าว ในกรณีของประเทศไทย มีสมาชิกผู้ก่อตั้งบางประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งยังไม่สามารถลงนามได้ เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างดำเนินการขอความเห็นชอบตามกระบวนการภายในของแต่ละประเทศ โดยในกรณี ของประเทศไทย ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อน เนื่องจาก AIIB จะมีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ จำเป็นจะต้องออกกฎหมายเพื่อรองรับ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี และคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 เดือนในการดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกที่ยังไม่สามารถลงนามได้ ยังสามารถลงนามในความตกลงฯ ดังกล่าวได้จนถึงสิ้นปี 2558 นี้ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2559 เป็นต้นไป

การจัดตั้ง AIIB มีวัตถุประสงค์หลักในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในภูมิภาคเอเชียในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน คมนาคม และสื่อสารโทรคมนาคม เป็นต้น AIIB จึงเป็นแหล่งเงินทุนอีกทางเลือกหนึ่งของไทยและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนที่ยังมีความต้องการเงินลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลไทยในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ และภายในภูมิภาค โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและอาเซียน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ภายในภูมิภาคจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป