หุ้นไทย COME BACK เมื่อรัฐอัดงบ

หุ้นไทย COME BACK เมื่อรัฐอัดงบ

หุ้นเหวี่ยง 6 เดือนแรก อาจไม่มาให้เห็นในช่วงที่เหลือของปีนี้ “เหล่าเซียนหุ้น” วิจารณ์อย่างนั้น หากรัฐเดินหน้าเมกะโปรเจคกระตุ้นเศรษฐกิจ

“3 เดือนแรกกระเป๋าตุง 3 เดือนหลังกระเป๋าแบน” 

หากจะเอ่ยเช่นนี้กับสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา คงไม่ผิดนัก เพราะอารมณ์ในการเทรดหุ้นดูช่างแตกต่างกันชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการการันตีจาก “กูรูหุ้นขั้นเทพ” อย่าง “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนเทคนิค ที่กล้าออกมายอมรับตรงๆว่า...

“เศรษฐกิจตกต่ำ กำลังซื้อหดตัว ภาครัฐไม่อัดเงินเข้าระบบ ส่งผลให้ ตลาดหุ้นตก อยู่ในอาการไซด์เวย์ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ พอร์ตลงทุนจึงติดลบครั้งแรกในรอบ 8 ปี”

แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยหลายตัวในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาจะออก “ลดลง” เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงติดต่อกัน 5 เดือน จาก 86.2 เหลือ 85.4 หลังมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาภัยแล้งที่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะภาคเกษตรกร

รวมถึงตัวเลขส่งออกรถยนต์เดือนพ.ค.ที่ลดลง 6.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังมีรถกระบะยี่ห้อหนึ่งเปลี่ยนรุ่นรถ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เข้าสู่ “ภาวะซบเซาอย่างหนัก” หลังจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ในเดือนพ.ค.ทำได้เพียง 127 โครงการ ลดลง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่จำนวนยูติรวมก็ลดลง 14% มาอยู่ที่ระดับ 38,371 ยูนิต

แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ยังคงแสดงท่าทีมั่นใจว่า ปี 2558 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3-4% หลังรายได้จากนักท่องเที่ยว การลงทุนของเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐอาจขยายตัวขึ้น ประกอบกับที่ผ่านมามีการอนุมัติตั้งโรงงานเพิ่มขึ้นทุกเดือน 

โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว 144 บริษัท

ทว่าความมั่นใจที่ภาครัฐพยายามส่งต่อเป็นระลอกจะช่วยลดอาการสวิงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้หรือไม่ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” มีคำตอบจาก “เหล่าผู้รู้” ที่มีผลตอบแทนเติบโตทุกปีเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ

“ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” ผู้ช่วยกรรมการผู้อานวยการ สายงานวิจัยลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2558 ว่า หากรัฐบาลตัดสินใจ “อัดฉีด” เงินลงทุนเข้าสู่ระบบ ด้วยการเดินหน้าทำโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ จนส่งผลให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายๆตัวปรับตัวดีขึ้น 

นักลงทุนจะเริ่มเห็น SET INDEX ขยับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

“บล.บัวหลวง วางเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,570 จุด” 

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะบ่งบอกว่า สถานการณ์ต่างๆในประเทศกำลังเริ่มดีขึ้นหลักๆประกอบด้วย 5 ตัวเลข คือ 

1.ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core CPI (ไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน) ปัจจุบันตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “ติดลบ” 1.27% ฉะนั้นหากสามารถกลับมาเป็นบวกได้สัญญาณที่ดีจะมาเยือน

2.ตัวเลขส่งออกของไทยต้องกลับมาเป็นบวก เพราะผ่านมา 4 เดือนตัวเลขส่งออกติดลบประมาณ 4% 

3.ตัวเลขนักท่องเที่ยวต้องดีขึ้น ซึ่งจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3 เพราะนักท่องเที่ยวจะเริ่มออกมาจองที่พักล่วงหน้า 

4.ธนาคารอาจเริ่มปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หากรัฐตัดสินใจเดินหน้าเมกะโปรเจคนำร่องเอกชน ฉะนั้นสินเชื่อทั้งปีอาจโตประมาณ 6-7% โดยในช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อเติบโตแล้วประมาณ 30% ส่วนครึ่งหลังอาจขยายตัวมากกว่านี้ ซึ่งสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จะเริ่มกลับมา หลังชะลอดูภาวะเศรษฐกิจ 

5.กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนต้องเติบโตจากปีก่อน ปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายรายทำนายว่า ปีนี้บริษัทจดทะเบียนอาจมีกำไรสุทธิโตเฉลี่ย 36% แต่ส่วนตัวมองว่า เป็นตัวเลขที่สูงเกินไป คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 20% โดยครึ่งปีหลังจะโตกว่า 6 เดือนแรก เนื่องจาก 6 เดือนหลังของปี 2557 บริษัทพลังงานหลายแห่งมีการตั้งสำรองจำนวนมาก หลังราคาน้ำมัน ลดลงอย่างหนัก

เขา ยังวิเคราะห์ต่อว่า เรื่องไวรัสเมอร์ส คงไม่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นไทย เพราะเมืองไทยมีประสบการณ์มาแล้วจากโรคซาร์ส ส่วนเรื่องที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ ส่วนตัวมองว่า ตลาดทั่วโลกรับรู้ไปแล้วระดับหนึ่ง เห็นจากเงินที่ไหลออกจากเอเชียในช่วงก่อนหน้านี้

สำหรับเรื่องที่ต้องรอดู คือ 1.การเลือกตั้ง หากต้องมีการแก้กฎหมาย อาจต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปในปี 2560 แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้นักลงทุนไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก 2.การเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจคของรัฐบาล ยิ่งรัฐเคาะเร็วเท่าไร ยิ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเท่านั้น อย่างไรก็ดีสาเหตุที่รัฐเลื่อนการทำโครงการต่างๆออกไป อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น ฉะนั้นเมื่อรัฐเริ่มมีความไว้ใจหน่วยราชการไทยมากขึ้นก็คงถึงเวลาอัดเงินเข้าระบบ

“ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เริ่มดูดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขส่งออก และยอดขายที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่มาตรการภาษีผู้บริโภค (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ของประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่มจาก 5% เป็น 8% ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 1 เม.ย.2557 จะช่วยทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น” 

เมื่อถามว่าหุ้นดาวเด่นอยู่ในกลุ่มใด?  “ชัยพร” บอกว่า หากรัฐอัดงบประมาณเข้าระบบแน่นอนว่า 5 กลุ่มหลักต้องมา นั่นคือ 1.กลุ่มโรงแรม 2.กลุ่มธนาคาร 3.กลุ่มก่อสร้าง 4.กลุ่มสายการบิน และ 5.กล่มสื่อสาร ซึ่งกลุ่มสุดท้ายจะได้รับผลดีจากการประมูล 4 จี ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ทั้งนี้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนแต่หุ้นขนาดใหญ่ เพราะหุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัวยังน่าสนใจ 

สำหรับนักลงทุนที่ “ชื่นชอบหุ้นไอพีโอ” แม้ที่ผ่านมาหุ้นน้องใหม่หลายตัวจะตั้งราคาแพงไปจนทำให้ราคาหุ้นไม่ค่อยพ้นจอง โดยเฉพาะหุ้นไอพีโอที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) หลังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่า 

แต่ส่วนตัวมองว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้นักลงทุนยังสามารถลงทุนได้ หากราคาสมเหตุสมผลกับพื้นฐานของบริษัท และภาวะเศรษฐกิจ สำหรับสาเหตุที่หลายบริษัทตั้งราคาสูงอาจเป็นพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นก็ดี เศรษฐกิจก็ไม่แย่ แต่เมื่อสถานการณ์พลิกราคาหุ้นย่อมลดลง

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ หรือ TISCO บอกว่า คงเป็นไปได้ยากที่ดัชนีปี 2558 จะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุด เนื่องจากมีปัจจัยลบหลากหลายรุมเร้า ประกอบกับตลาดหุ้นในครึ่งหลังปี 2558 ยังอยู่ใน “ภาวะผันผวน” ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก

แม้ตลาดหุ้นจะออกแนวไซด์เวย์ แต่ถือว่าอาการไม่หนักเท่าครึ่งแรก โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ 1.เศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีฐานต่ำมาก 2.ภาคส่งออกเริ่มกระเตื้องขึ้น 3.ภาครัฐมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็น “ความหวังเดียว” ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเมื่อรัฐลงทุนเอกชนก็จะเกิดความเชื่อมั่นและลงทุนตาม

ส่วนทิศทางเศรษฐกิจในต่างประเทศ ปัจจุบันยังมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแนวโนมเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในขั้นยังไม่ฟื้นตัว ,ผลกระทบจากกรีซ ,เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ส่วนปัญหาโรคเมอร์สมีผลเพียงในระยะสั้นเท่านั้น 

“นักลงทุนต้องติดตามผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่าจะผ่านหรือไม่ เพราะหากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านความเห็นชอบ และการเกิดเลือกตั้งตามกรอบเวลาจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง” 

ไพบูลย์ ยังแนะนำการลงทุนใน “หุ้นดาวเด่น” ว่า “กลุ่มค้าปลีก” ยังคงน่าลงทุน เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลดลงมาแล้วค่อนข้างมาก หลังประชาชนชะลอการจับจ่ายใช้สอย หลังขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย

ปัจจุบันราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีก ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะเชื่อว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังภาครัฐมีการลงทุน ฉะนั้นย่อมจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและกลับมาจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม นอกจากนั้นยังมี “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” แน่นอนเมื่อรัฐเดินเครื่องโครงการใหม่กลุ่มนี้ได้ประโยชน์แน่นอน 

ส่วน “หุ้นดาวร่วง” น่าจะเป็น “กลุ่มธนาคาร” เนื่องจากธุรกิจธนาคารจะมีเรื่องหนี้เสียเข้ามากระทบต่อการทำกำไร และคุณภาพของสินทรัพย์ ประกอบกับ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารเริ่มยากขึ้น

ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงนี้ นักลงทุนควรประเมินสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558 เป็นหลัก เนื่องจากยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการทำกำไรไตรมาส 2/58

“มนตรี ศรไพศาล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET ประเมินตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังว่า อาจฟื้นตัวจากช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนีสิ้นปีอาจยืนระดับ 1,650 จุด แม้ปัจจัยแวดล้อมเศรษฐกิจจะยังไม่สดใสก็ตาม แต่สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกำลังมาแล้ว โดยเฉพาะตัวเลขส่งออก และท่องเที่ยว

“สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่วนตัวมองว่า สหรัฐฯ อาจยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม” “มนตรี” เชื่ออย่างนั้น 

“ทวีรัชต์ มัททวีวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ เวลธ์ พลัส จำกัด บอกว่า ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังอยู่ในช่วงผันผวนออกแนว “ไซด์เวย์” ถึง “ไซด์เวย์อัพ” แต่เชื่อว่าจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก สุดท้ายตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนของภาครัฐ หากไม่มีความชัดเจนดัชนีจะอยู่แถวๆ 1,450-1,550 จุด

“ความหวังเศรษฐกิจไทย คือ รอรัฐลงทุนโครงการใหญ่” “ทวีรัชต์” มั่นใจเช่นนั้น

สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน คือ “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” ซึ่งจะได้รับผลดีจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนั้นยังมี“กลุ่มพลังงานทดแทน” หลังรัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานทางเลือก

ส่วนตัวขอย้ำว่า จงเลือกลงทุนเป็นรายตัว เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนบางตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นตามข่าวการได้รับไลเซนส์ไปมากแล้ว และไม่รู้ว่าปลายปีจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตามสัญญาจริงหรือไม่ หากไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตามกำหนดก็จะโดน “ยึดไลเซนส์” ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความเสี่ยงของธุรกิจ

ส่วนหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยง คือ หุ้น “กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์” เนื่องจากเป็นหุ้นที่ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันขึ้นราคาหุ้นก็จะปรับตัน แต่หากราคาน้ำมันร่วงราคาหุ้นก็จะร่วลงตาม 

“ทิศทางโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนไทยในปัจจุบันมีการปรับตัวเองรับกับความเสี่ยงได้มากแล้ว ยกเว้นบางบริษัทที่เป็นหุ้นเก็งกำไร ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีการเติบโตของรายได้และกำไรสม่ำเสมอ”

—————————-

“ดัชนีไซด์เวย์” ทัศนะเซียนหุ้น 

“โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง” นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย ) เจ้าของชื่อล็อกอิน "ลูกอีสาน“ ในเว็บไซต์ Thaivi ” มีความเชื่อที่ว่า หากรัฐบาลออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังเลื่อนมาจากต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า และเปิดประมูลพลังงานรอบใหม่ ตลาดหุ้นในช่วง 6 เดือนหลังจะไม่ตกอยู่ใน “อาการไซด์เวย์” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา 

“ธุรกิจท่องเที่ยว ถือเป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจ หากวันนี้ไม่มีธุรกิจดังกล่าวเศรษฐกิจไทยคงตกต่ำกว่านี้มาก ส่วนตัวเชื่อว่าท่องเที่ยวจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี”

ภาวะตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนวีไอค่อนข้างชอบ (หัวเราะ) สวนทางกับนักลงทุนสไตล์อื่นที่บอกว่า “เล่นยาก” เพราะเวลาที่เกิดวิกฤติหุ้นพื้นฐานดีจะค่อยๆโผล่ออกมา ไม่เหมือนช่วงที่ตลาดหุ้นดีๆซื้อตัวไหนก็ขึ้น สถานการณ์เช่นนั้น “หุ้นดีหุ้นเลว” มาหมด ทำให้นักลงทุนบางรายแยกไม่ออกว่า หุ้นพื้นฐานและหุ้นปั่นแตกต่างกันเช่นไร เพราะเล่นวิ่งขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน ออกแนวไม่มีสตอรี่ก็ขึ้น 

“ตลาดหุ้นดีๆ เราจะเห็นนกประเภทที่บินไม่ได้ บินได้ แต่เมื่อตลาดหุ้นผันผวนเล่นยาก เราจะไม่เห็นนกที่บินไม่ได้ ออกมาบิน แต่จะเห็นเพียง “พญาอินทรี” เท่านั้นที่ออกมาโลดแล่น เปรียบได้ว่า ทุกครั้งที่ดัชนีสวิง จะเหลือเพียงคนเก่งเท่านั้นที่ยังอยู่ ส่วนคนไม่จริงก็ไม่อยู่ เพราะมันไม่มีลมใต้ปีกค่อยช่วยอีกแล้ว”

ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ “โจ ลูกอีสาน” บอกว่า โดยปกตินักลงทุนแนววีไอไม่ค่อยดูหุ้นรายกลุ่ม แต่นิยมพิจารณาเป็นรายตัวมากกว่า ฉะนั้นคงแนะนำได้เพียงว่า หุ้นบางตัวในกลุ่มค้าปลีกยังถือว่า “ลงทุนได้” เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันหากภาครัฐอัดฉีดงบเข้าระบบในช่วงที่เหลือของปีนี้ หุ้นค้าปลีกพื้นฐานดีบางตัวอาจปรับดีดขึ้นมา 

“ในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะยังเห็นการตั้งราคาขายหุ้นไอพีโอแพงๆ เรียกว่า ขายราคาอนาคต แม้จะแพงและมีบทเรียนจากการติดดอย แต่นักลงทุนรายย่อย ก็ยังให้ความสนใจ ที่ผ่านมามีหุ้นไอพีโอหลากหลายตัวที่ขายราคาสูงเกินไป เช่น หุ้น เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป หรือ PLAT เป็นต้น ฉะนั้นอยากให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ”

“นเรศ งามอภิชน" เซียนหุ้นรายใหญ่ เจ้าของห้อง VIP หมายเลข 121 บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บอกว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ได้ยินนักลงทุนรอบตัวบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “เล่นหุ้นไม่ได้กำไร หรือได้กำไรน้อย” ไม่เหมือนในช่วง 1-3 เดือนแรก หลังมีปัจจัยลบต่างๆคอยรุมเร้า

ส่วนตัวเชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่ตกอยู่ใน “ภาวะไซด์เวย์” แต่อาจไม่หนักเหมือนที่ผ่านมา เพราะหากย้อนดูดัชนีในช่วง 6 เดือนแรก จะพบว่า ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นเหวี่ยงวันรุ่งขึ้นจะมีแรงซื้อกลับทันที

นั่นหมายความว่า นักลงทุนยังมีความเชื่อที่ว่า ภาพรวมเมืองไทยจะฟื้นตัว ขณะเดียวกันหากรัฐบาลเดินหน้าโครงการต่างๆ หลังเลื่อนการดำเนินมาตั้งแต้ต้นปี โอกาสจะเห็นดัชนีแตะ 1,600 จุด ตามที่บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) วิเคราะห์ไว้ก็มีความเป็นไปได้สูง

“ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.พอร์ตลงทุนส่วนตัวสร้างผลตอบแทนสูงถึง 30% แต่เมื่อเข้าสู่เดือนเม.ย.และพ.ค.กลับทำผลตอบแทนได้เพียง 10% ซึ่งในช่วงนั้นตลาดหุ้นสวิงมาก เรียกว่า ขึ้นลงทุกวัน” นักลงทุนพันล้าน กล่าว

ถามว่า หุ้นกลุ่มไหน คือ “ดาวเด่น” เขาบอกว่า ส่วนตัวยังชอบธุรกิจพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานลม เนื่องจากมีอัตราส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ

ส่วนกลุ่มธุรกิจการเงินที่เน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีหลักประกัน ถือว่าน่าสนใจ แต่สำหรับกลุ่มธุรกิจน่าโนไฟแนนซ์ แม้นักลงทุนหลายคนจะบอกว่า เป็นธุรกิจใหม่ที่ดี แต่ส่วนตัวมองว่า ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 

ถามว่า หากมีความคิดเช่นนั้น เหตุใดในช่วงที่ผ่านมาจึงซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT จำนวน 18 ล้านหุ้น เขาอธิบายว่า ชอบธุรกิจหลักของเขา นั่นคือ ธุรกิจซื้อหนี้ เพราะมีแนวโน้มการทำกำไรสูงมาก เมื่อเทียบกับธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ที่เป็นงานใหม่ของ JMT 

“เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักพันล้าน เชื่อว่า หุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะยังตกอยู่ใน “อาการผันผวน” ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่แม้ดัชนีจะตกอยู่ในอาการไซด์เวย์ ส่วนตัวก็ยังชื่นชอบการลงทุนในตลาดหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นค่อนข้างมาก

ส่วนตัวมองว่า ปลายปีนี้หุ้นไทยคงไปไม่ถึง 1,700 จุด เท่าที่ดูพฤติกรรมตลาดหุ้นจะพบว่า ทุกครั้งที่ดัชนีขึ้นขาใหญ่จะปรับพอร์ตขายทำกำไร เพื่อรอเก็บอีกครั้งในราคาต่ำๆ ฉะนั้น ตลาดหุ้นคงยืนได้เพียงระดับ 1,500-1,600 กว่าจุด 

ฉะนั้นในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนควรเลือก “หุ้นปลอดภัย” โดยหุ้นตัวนั้นต้องเป็นหุ้นพื้นฐานที่ดีมีการเติบโตสม่ำเสมอ เช่น “กลุ่มค้าปลีก” โดยเฉพาะ หุ้น เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ปัจจุบันราคาปรับฐานลงมาเยอะแล้ว 

นอกจากนั้นยังมี หุ้น เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป หรือ PLAT แม้ปัจจุบันราคาจะแพงเกินไป แต่เชื่อว่า เมื่อโครงการเปิดบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนหุ้นที่ควร “หลีกเลี่ยง” และต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ “กลุ่มพลังงานทดแทน” แม้หุ้นพลังงานทดแทนบางตัวจะมีสตอรี่ให้ลงทุน แต่ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วค่อนข้างมาก ขณะที่หุ้นบ้างตัวมีค่า P/E สูงมาก

“เซียนหุ้นรุ่นใหญ่” ทิ้งท้ายว่า สำหรับ “หุ้นดาวเด่น” ที่ทำพอร์ตลงทุนส่วนตัวเติบโต คือ หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ซึ่งหุ้นตัวนี้พื้นฐานดีมีอัตราการเติบโตของผลประกอบการสม่ำเสมอ และหุ้น ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD ซึ่งซื้อมาตั้งแต่ราคาไอพีโอ ปัจจุบันราคาปรับขึ้นมาค่อนข้างเยอะ