'เฮลท์แคร์' เรื่องใหม่ EVER

'เฮลท์แคร์' เรื่องใหม่ EVER

ขาดทุน 3 ปีซ้อน เหตุแห่งการหายตัว 'เอเวอร์แลนด์' ปรากฏตัวรอบนี้พร้อมสตอรี่ใหญ่ แตกไลน์ทำ 'ธุรกิจโรงพยาบาล'

'ทุนน้อย-เงินขาดมือ-อสังหาฯซบเซา' สาเหตุใหญ่ที่ทำให้ฐานะการเงินของ บมจ.เอเวอร์แลนด์ หรือ EVER ติดลบ 3 ปีซ้อน (2555-2557) ด้วยเหตุนี้ 'ตระกูลโลจายะ' ในฐานะหัวเรือใหญ่ จึงตัดสินใจเก็บตัวเงียบ เพื่อซุ่มหาธุรกิจใหม่ที่จะมาเป็นตัวช่วยในการ 'เทิร์นอะราวด์'

แม้ธุรกิจหลักอย่างอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กของ EVER จะไม่ได้อยู่ในสายตาผู้บริโภคเห็นได้จากยอดขายที่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในแต่ละปี แต่ตลอดปี 2556 บริษัทได้ทยอยเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 581.61 ล้านบาท (ตัวเลขสิ้นปี 2555) เป็น 3.23 ล้านบาท ด้วยการขายหุ้นให้ทั้งบุคคลในวงจำกัด และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม

โดยเงินจากการเพิ่มทุนบริษัทได้นำไปซื้อสินทรัพย์จำนวน 4 รายการ มูลค่า 959.99 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ซื้อโครงการมายรีสอร์ท บางกอก 94 ยูนิต มูลค่า 460 ล้านบาท 2.หุ้นสามัญบริษัท มายรีสอร์ท โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 9.99 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 20 บาท มูลค่า 199.99 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท 3.ซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เดอะวิลล่า (หัวหิน) จำกัด จำนวน 1.99 หมื่นล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 15 บาท มูลค่ารวม 299.99 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้นเดิม 4.ซื้อโครงการ มายรีสอร์ท แอท ริเวอร์ จากบริษัท อิควิตี เรสซิเดนเชียล เจ้าพระยา จำนวน 46 ยูนิต มูลค่า 540.39 ล้านบาท

ผ่านมาถึงปลายปี 2557 'กลุ่มโลจายะ' ตัดสินใจ 'พลิกโฉมธุรกิจครั้งใหม่' ด้วยการแตกไลน์ออกไปทำ 'ธุรกิจโรงพยาบาล' หวังให้เป็นสตอรี่ใหม่ขับเคลื่อนราคาหุ้นและผลประกอบการ

โดยบริษัทได้ซื้อสินทรัพย์ 3 รายการ มูลค่า 150 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญบริษัท โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จำกัด จำนวน 2 แสนหุ้น ราคาหุ้นละ 428.50 บาทต่อหุ้น มูลค่า 85.70 ล้านบาท

2.หุ้นสามัญบริษัท เดนทอล อิส ฟัน จำกัด ผู้ประกอบการทันตกรรมและสถานฟื้นฟูบำบัดผู้เจ็บป่วยและเป็นโรคทุกชนิด ภายใต้ชื่อ 'คลินิก จัส ฟอ ฟัน' จำนวน 7.5 พันหุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท มูลค่า 750 ล้านบาท

3.หุ้นสามัญของบริษัท ยูนิคอน เซอร์วิสเซส จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดิน และอาคาร ที่เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสยามราษฎร์ จำนวน 5 หมื่นหุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท มูลค่า 5 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทยังให้เงินกู้ยืมแก่ บริษัท ยูนิคอน เซอร์วิสเซส จำกัด จำนวน 58.55 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากกลุ่มผู้ขาย รวมเป็นมูลค่าการซื้อหุ้นและจำนวนเงินกู้ยืม 63.50 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในปี 2557 บริษัทำได้บันทึกรายได้จากการบริการด้านโรงพยาบาลจำนวน 11 ล้านบาท คิดเป็น 1.35% ของรายได้รวม

'ติ๊-สวิจักร์ โลจายะ' ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเวอร์แลนด์ หรือ EVER พี่ชายคนโตของตระกูลโลจายะ (คนรอง 'เต้ย-ขุมทรัพย์' น้องเล็ก 'ตั้ม-จอมทรัพย์' ผู้รับหน้าที่พลิกกิจการ บมจ.ซุปเปอร์บล๊อก หรือ SUPER) ควงแขน 'คุณหมอโนเนม' ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มโรงพยาบาล เปิดห้องทำงานแจกแจง 'แผนเทิร์นอะราวด์' ให้ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ฟังว่า

ปีก่อนโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ ที่มีจำนวน 50 เตียง ทำรายได้สูงถึง 100 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ 4% แต่บริษัทเพิ่งเข้ามาซื้อกิจการเมื่อปลายปี ทำให้บันทึกได้แค่บางส่วน

ฉะนั้นเมื่อเราเป็นเจ้าของเต็มตัวรายได้ 100 ล้านบาทที่โรงพยาบาลเคยทำได้ เราย่อมรับรู้รายได้ทั้งหมด บริษัทตั้งเป้าหมายว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จะมีรายได้ขยายตัวปีละ 20%

เขา ตอบข้อสงสัยที่ว่า EVER มีความเชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจพยาบาลด้วยหรือ แม้ผมจะไม่ได้เรียนจบหมอ แต่ถ้าจะบอกว่า ธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ในสายเลือด คุณจะเชื่อหรือไม่ คุณพ่อของเราสามพี่น้องท่านเป็นหมอ สมัยเด็กๆ ทุกวันอาทิตย์พ่อจะพาลูกๆ ไปทำงานที่โรงพยาบาลกรุงเทพด้วย
นั่นหมายความว่า ผมเห็นพัฒนาการของธุรกิจนี้มาโดยตลอด 'คุณหมอพงษ์ศักดิ์ วิทยากร' และ 'คุณหมอประเสริฐ ปราสาททองโอสถ' ท่านเป็นเพื่อนกับพ่อผม

เมื่อถามถึงแผนขยายกิจการโรงพยาบาล 'ประธานกรรมการ' บอกว่า เราจะขยายธุรกิจโรงพยาบาลออกไปใน 3 กลุ่ม คือ 1.โรงพยาบาลขนาดเล็ก-กลางใหม่ 2.โรงพยาบาลขนาดกลางที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว และ 3.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อาทิเช่น ศูนย์เฉพาะทางไตเทียม วินิฉัยโรคหัวใจ และศูนย์รักษาความงาม เป็นต้น

โดยในส่วนของการลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่ ล่าสุดบริษัท มายฮอสพิทอล จำกัด ในฐานะบริษัทย่อยของ EVER ได้จับมือกับ 'ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์' และ 'รอย อิศราพร ชุตาภา' เปิด บริษัท อาร์เอสยู อินเตอร์เนชั่นแนล ฮอสพิทอล จำกัด (RIH) ที่มีทุนจดทะเบียน 1.2 พันล้านบาท แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็น 30% 50% 20% ตามลำดับ เพื่อร่วมกันลงทุนโรงพยาบาลแห่งใหม่ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีนี้

ส่วนแผนลงทุนในโรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วนั้น เราสนใจซื้อโรงพยาบาลขนาดกลาง-ล่าง ที่สามารถสร้างรายได้ได้ปีละ 200-300 ล้านบาท คาดว่า กลางปีนี้อาจเห็นเราเข้าไปเทคโอเวอร์โรงพยาบาล 1-2 แห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีขนาด 100 เตียง ปัจจุบันเตรียมเงินลงทุนไว้แล้วประมาณ 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินและเงินทุนของบริษัท

ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) เราอยากเทคกิจการโรงพยาบาลขนาดกลาง-ล่าง ที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วประมาณ 10 แห่ง ส่วนการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่อาจเห็นเราทำเพิ่มเติมอีก 1-2 แห่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาถึงความเหมาะสมของการลงทุน โลเคชั่น และพันธมิตร สำหรับแผนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เราตั้งใจจะเปิดส่วนงานดังกล่าวในโรงพยาบาลที่เราซื้อมา ถือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง

เขา ย้ำว่า ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างซบเซา ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ธุรกิจเฮลท์แคร์กลับมีทิศทางที่ดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ควรหันไปทำธุรกิจที่สร้างเงิน ปัจจุบันธุรกิจโรงพยาบาลมีเจ้าใหญ่เพียงไม่กี่ราย

ส่วนใหญ่จะเจาะตลาดระดับ World Class ขณะที่ตลาดกลาง-ล่าง ยังหาเจ้าภาพไม่ค่อยได้ ฉะนั้นหากเรานำกิจการที่มีอยู่แล้วมานำมาปรับปรุงบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นตัวทำเงินที่ดีในอนาคต

จากสถิติที่ผ่านมาธุรกิจโรงพยาบาลขนาดเล็กมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยจะเติบโตประมาณ 10% ต่อปี ส่วนกำไรในปีแรกจะอยู่ระดับ 3-5% หลังจาก 5 ปีไปแล้ว รายได้จะเติบโตปีละ 7-8% ส่วนกำไรจะขยายตัวปีละ 8-10% ฉะนั้นหากบริษัทไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมก็จะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวกำไร

'ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ธุรกิจโรงพยาบาลและอสังหาริมทัรพย์จะมีสัดส่วนรายได้เท่ากันที่ระดับ 50% และเมื่อถึงเวลาเหมาะสม เราอาจแยกธุรกิจโรงพยาบาลออกมา เพื่อผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ต่อไป'

ถามถึงแผนลงทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขา เล่าว่า เรายังไม่ทิ้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตรงข้ามยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ปัจจุบันธุรกิจอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ไม่สามารถทุ่มเงินลงทุนครั้งละมากๆในโครงการใหม่ได้ แม้เราจะมีที่ดินรอการพัฒนาหลายแห่ง เช่น เชียงใหม่ และศรีราชา เป็นต้น เบื้องต้นอาจทำเป็นโครงการแนวราบขนาดเล็ก

ในปี 2558 บริษัทเตรียมเปิดใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 7 พันล้านบาท เป็นแบ่งโครงการแนวราบ 2 แห่ง และคอนโดมิเนียม 1 แห่ง ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว สุวินทวงศ์ เฟสแรก 150 หลังคา มูลค่า 750 ล้านบาท ราคาหลังละ 5 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวต้นเดือน ส.ค.นี้
โครงการบ้านเดี่ยว หทัยราษฏร์ มูลค่า 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวปลายปีนี้ และโครงการคอนโดมิเนียมไฮไลน์ สนามบินน้ำ สูง 54 ชั้น ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 200 เมตร 2 พันยูนิต มูลค่า 6 พันล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างโครงการ 2-3 ปี โดยจะเปิดขายพรีเซลล์ปลายปีนี้

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำลังเปิดขายหลายแห่ง เช่น 1.โครงการคอนโดมิเนียม My Resort หัวหิน มูลค่า 2,400 ล้านบาท เฟส 1 ล่าสุดอยู่ระหว่างรอขายประมาณ 70%

ส่วนเฟส 2 ขายได้แล้วประมาณ 50% ซึ่งโครงการ My Resort หัวหิน มีจุดเด่นตรงที่ติดกับทะเล อยู่ใกล้สวนน้ำ ซึ่งได้การตอบรับจากลูกค้าดีมาก โดยเริ่มรับรู้รายได้ในเฟสแรกปี 2556 และปี 2557 เริ่มรับรู้รายได้เฟส 2

2.โครงการติดริมแม่น้ำ My Resort @ River คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา จรัญสนิทวงศ์ 72 สูง 37 ชั้น ราคาต่อห้อง 18 ล้านบาท ขายได้แล้ว 50% 3.โครงการคอนโดมิเนียมเพชรบุรี-อโศก มูลค่า 2,000 ล้านบาท ขายได้แล้ว 90%

'ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงพยาบาลต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนเพิ่มทุนอีกครั้ง เราเชื่อว่าผู้ถือหุ้นจะไม่มีปัญหา เนื่องจากบริษัทมีแผนการใช้เงินชัดเจน ซึ่งผู้ถือหุ้นน่าจะชอบ เพราะอนาคตมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น' 'สวิจักร์ โลจายะ' เชื่อเช่นนั้น

อย่างไรก็ดี EVER ซื้อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อ บริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อมาจากกลุ่ม 'สดาวุธ เตชะอุบล' ขณะนั้นมีโครงการที่หยุดดำเนินการอยู่ในมือ 5 แห่ง แต่หลังจาก 'โลจายะ' เข้ามารับช่วงต่อในช่วงเศรษฐกิจไทยตกต่ำ ก็ค่อยๆขยายโครงการ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างหนี้ และล้างขาดทุนสะสะมที่มีอยู่ 1.4 หมื่นล้านบาท

'สวิจักร์' บอกว่า สาเหตุที่ตัดสินใจซื้อกิจการต่อจากกลุ่มเตชะอุบล เพราะมองเห็นโอกาสที่ดี เราเชื่อว่าธุรกิจจะฟื้นตัวได้เร็วกกว่าธุรกิจอื่นที่อยู่ในช่วงขาลง ท่ามกลางเศรษฐกิจย่ำแย่ (ความคิดในช่วงนั้น) ช่วงแรกของการทำธุรกิจยอมรับเหนื่อยมาก เพราะเจอหลากหลายปัญหา เช่น เราต้องปรับปรุงโครงการที่ก่อสร้างค้างไว้แล้วนำมาขายใหม่ แต่เมื่อปรับปรุงเสร็จลูกค้าก็ให้ผลตอบแทนที่ดี

'ช่วงที่เงียบหาย เราไม่ได้ไปไหนยังคงทำธุรกิจอสังหาริมทัรพย์ไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่ไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์ ทำให้ดูเหมือนเราหายตัวไป แต่การกลับมาครานี้ เรามีแต่เรื่องดีๆแน่นอน' นายใหญ่แห่ง เอเวอร์แลนด์ อธิบายอย่างนั้น