อุดร...ซ่อนของดี

อุดร...ซ่อนของดี

นอกจากจักรยานจะเป็นยานพาหนะรัก(ษ์)โลก ก็ยังเป็นยานพาหนะที่รักคนอื่นด้วย

เพราะเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา จักรยานได้เป็นสื่อกลางพาผู้คนนับร้อยชีวิตไปส่งมอบความสุขให้แก่ใครหลายคน ในโครงการ ‘Udon Go Green ตอน ปั่นปันรัก (ษ์)’ ซึ่งทางศูนย์การค้า UD Town ได้จัดขึ้นเพื่อให้ส่งเสริมให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการปั่นจักรยาน

นอกจากนี้ยังพานักปั่นที่เข้าร่วมกิจกรรมหลายร้อยคนปั่นจักรยานจากศูนย์การค้า UD Town ไปมอบจักรยานให้แก่ทหาร ค่าย ร.13 พัน 1 (ค่ายรามสูร), มอบให้เด็กๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านเชียงแหว อ.กุมภวาปี และโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 72 (เทศบาล 8) อ.เมือง จ.อุดรธานี แล้วปิดท้ายด้วยการโยนเหง้าบัวเพื่อฟื้นฟูทะเลบัวแดงให้อยู่คู่ชาวอุดรตลอดไป


แม้จะต้องปั่นจักรยานกันไกลถึง 50 กิโลเมตรท่ามกลางแดดจัด แต่ทุกคนต่างมีรอยยิ้ม ทั้งผู้ให้และผู้รับ


หลังจากเสร็จกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อคนอื่น ก็ถึงคราวที่ต้องปั่นจักรยานเพื่อหาความสุขใส่ตัวเองบ้างแล้ว...


จักรยานก็เหมือนยานพาหนะอื่น คือทำหน้าที่พาเราไปไหนมาไหนได้มากมาย แต่สิ่งที่จักรยานมีมากกว่าคือความเนิบช้า ซึ่งช่วยประวิงเวลาให้ได้ดื่มด่ำกับสิ่งต่างๆ ระหว่างทางได้อย่างเนิ่นนาน


สำหรับอุดรธานี แค่ปั่นจักรยานผ่านๆ เร็วๆ จะทำให้พลาดของดีไปหลายอย่าง ลองมาใช้ชีวิตแบบ Slow life on bicycle สักสองสามวันแล้วจะรู้ว่าแค่ในเมืองอุดรก็ปั่นกันจนฟินแล้วล่ะ


ถือเป็นโชคดีที่ตั้งแต่เสร็จกิจกรรมปั่นปันรัก (ษ์) อากาศที่อุดรก็แจ่มใสไร้ฝน ทำให้ผมปั่นจักรยานได้อย่างสะดวกกายสบายใจ


แม้ว่าอุดรธานีจะเป็นจังหวัดใหญ่ของภาคอีสาน แต่รถราบนท้องถนนสายหลักและสายรองก็ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคต่อการปั่นจักรยานมากนัก บางช่วงเวลากลับกลายเป็นว่าถนนที่อุดรเป็นมิตรต่อจักรยานมากด้วยซ้ำ แต่จะปั่นจักรยานต่างถิ่นก็ต้องเสริมสร้างกำลังใจโดยเริ่มต้นที่สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอุดรธานีซึ่งตั้งอยู่บริเวณทุ่งศรีเมือง ภายในมีเสาหลักเมืองที่สร้างเมื่อ พ.ศ.2502 โดยมีพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณของ พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม มาสิงสถิต ณ เสาหลักเมืองด้วย หลังจากนั้นศาลหลักเมืองได้ทรุดโทรมลงจนกระทั่งปี พ.ศ.2542 ได้สร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่แทน


ด้วยความที่อุดรเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาและเกจิอาจารย์ดังมากมาย วัดวาอารามจึงน่าเที่ยวน่าชมยิ่งนัก ใกล้ๆ ทุ่งศรีเมืองมีวัดมัชฌิมาวาส ที่มีชื่อเดิมว่าวัดโนนหมากแข้ง เคยเป็นวัดร้างแล้วกลับมาบูรณะใหม่พร้อมๆ กับที่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมก่อร่างสร้างเมืองอุดรธานีขึ้น วัดนี้จึงถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองอุดรก็ว่าได้ ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปปางนาคปรกที่ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ชื่อว่า หลวงปู่นาค ประดิษฐานอยู่หน้าพระอุโบสถ หลังจากหาที่พิงจักรยานได้ก็ได้เห็นความเลื่อมใสศรัทธาของชาวอุดรที่มากันกราบหลวงปู่นาคกันไม่ขาดสาย โดยที่วิธีการสักการะก็ไม่ซ้ำใครคือต้องใช้ไม้ยาวเกี่ยวพวงมาลัยไปแขวนบนเศียรพญานาค เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้การกราบพระมีสีสันดีทีเดียว


ที่วัดมัชฌิมาวาสบรรยากาศร่มรื่นมาก จึงไม่แปลกเลยที่หลายคน (โดยเฉพาะนักปั่นผู้กรำแดด) จะมานั่งซึมซับโอโซนนานสักหน่อย แต่นานไปก็ไม่ดีเพราะยังมีอีกหลายที่ให้ได้ไปชื่นชม


ปั่นออกจากวัดนี้ไปยังไม่ทันเหนื่อยก็เจอวัดต่อไป สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับพระเกจิแห่งภาคอีสานต้องแวะเลย เพราะวัดโพธิสมภรณ์มีอะไรต่อมิอะไรให้ได้ดูกัน


แค่ปั่นจากถนนเพาะนิยมเข้ามาในวัดก็ต้องรีบหาที่จอดจักรยาน เพราะพระบรมธาตุธรรมเจดีย์ที่ประดิษฐานตระหง่านอยู่นั้นใหญ่โตอลังการมาก สำหรับนักปั่นที่สวมกางเกงขาสั้น ทางวัดมีกางเกงและผ้าถุงให้สวมทับก่อนขึ้นไปบนนั้น


พระบรมธาตุธรรมเจดีย์มีสามชั้นเมื่อเดินตามบันไดที่มีพญานาคทอดตัวยาวอยู่ขึ้นไปจนถึงชั้นที่สามจะมีพระบรมสารีริกธาตุให้กราบสักการะ


ที่ศาลาข้างๆ ก็มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติของพระเกจิดังแห่งอีสานไว้หลายรูป และถ้าไม่รีบไปไหนก็ยังมี พระพุทธรูปทองสำริด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย(หลวงพ่อพระพุทธรัศมี) อายุราว 600 ปี, พระพุทธรูปศิลาแลง อายุราว 1,300 ปี, ต้นพระศรีมหาโพธิ์, รอยพระพุทธบาทจำลอง ทำด้วยศิลาแลง อายุกว่า 100 ปี และตู้พระไตรปิฎกลายทองลดน้ำ สร้างในพระนามเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ อีกด้วย


ไม่ไกลจากวัดนี้ไปทางทิศตะวันออกคือหนองประจักษ์ หนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่าหนองนาเกลือ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นหนองประจักษ์ เพื่อเป็นเกียรติแก่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานี บริเวณตัวเกาะกลางน้ำเป็นสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด และทำสะพานเชื่อมระหว่างเกาะมีน้ำพุ หอนาฬิกา และสนามเด็กเล่น


ที่ขาดไม่ได้เลยคือเป็นสถานที่ออกกำลังกายของประชาชนทั้งเดิน, วิ่ง, ปั่นจักรยาน ระยะทางรอบหนองประจักษ์ราว 3 กิโลเมตร ถือว่ามากพอให้ปั่นจักรยานวนๆ โดยที่ไม่น่าเบื่อเลย


และจุดขายสำคัญของที่นี่ในพ.ศ.นี้ก็คือเป็ดยักษ์สีเหลืองที่ลอยอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้แวะถ่ายรูปด้วย ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับลาบเป็ดอุดร อาหารขึ้นชื่อของจังหวัดอุดรหรือไม่อย่างไร


ถ้าใครปั่นจักรยานแล้วเหนื่อยหรือกระหายน้ำ ก็พลาดไม่ได้ที่จะแวะที่ร้านน้ำส้มรถขาว ที่ชื่อนี้เพราะเมื่อก่อนเปิดท้ายขายโดยใช้รถสีขาวตลอดจนคนเรียกติดปากว่าน้ำส้มรถขาว จนตอนนี้มีร้านเป็นหลักเป็นแหล่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหนองประจักษ์ หันหน้าตรงกับเป็ดยักษ์กลางหนองนั่นแหละ


รสเปรี้ยวของน้ำส้มแท้ช่วยให้สดชื่นมาก และด้วยราคาสบายกระเป๋าเพียงขวดละ 40 บาท (ดื่มได้ประมาณ 3 แก้ว) ก็ช่วยให้ไปต่อได้อีกก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า...


คราวนี้ปั่นไกลข้ามไปอีกฟากของตัวเมืองอุดร คือละแวก UD Town ถัดไปนิดหน่อยคือศาลเจ้าปู่-ย่า หรือ ปึงเถ่ากงม่า อีกสถานที่สำคัญของเมืองอุดรที่แขกไปใครมาก็ต้องแวะกราบไหว้ขอพร นอกจากศาลเจ้าจีนที่สวยงามและศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่นี่ยังมีศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน ที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวอดีตจนถึงปัจจุบันของชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองอุดร แม้จะอัดแน่นทว่ากลับไม่น่าเบื่อเลย เพราะมีลูกเล่นให้ได้ตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง จนแอบคิดว่าพิพิธภัณฑ์ทุกแห่งในประเทศไทยน่าจะเป็นแบบนี้ รับรองว่าคนไทยจะเข้าพิพิธภัณฑ์กันเป็นเรื่องธรรมดาเลยล่ะ


ปั่นกันพอหอมปากหอมคอ เพราะระยะทางรวมทั้งหมดในเมืองอุดรไม่ไกลนัก อาจมีบ้างที่ช้าเพราะติดสัญญาณจราจร (สี่แยกไฟแดงเยอะจริงๆ) จึงขอลาไปพร้อมกับบรรยากาศริมหนองบัว ติดกับศาลเจ้าปู่-ย่าแห่งนี้


แล้วพบกันใหม่นะ...อุดรธานี