“เดอะ สปา เกาะช้าง” รีสอร์ทนี้ 'หัวใจ' สีเขียว

“เดอะ สปา เกาะช้าง”  รีสอร์ทนี้ 'หัวใจ' สีเขียว

อยู่บนเกาะ แต่โลเคชั่นไม่ติดทะเล ห่างไกลสีสันของเมืองท่องเที่ยว “เดอะ สปา เกาะช้าง” เลยพลิกคอนเซ็ปต์ปรับกลยุทธ์มาทำรีสอร์ทรักษ์สิ่งแวดล้อม

รีสอร์ทเงียบสงบ ปกคลุมไปด้วยธรรมชาติเขียวขจี ที่ซ่อนตัวอยู่ในตำบลเกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด คือ “เดอะ สปา เกาะช้าง” รีสอร์ทสุขภาพที่ขึ้นชื่อเรื่องการล้างพิษ(ดีท็อกซ์) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จุดหมายของคนรัก สปาที่หาได้บนเกาะช้าง

เราได้รู้จักรีสอร์ทหัวใจสีเขียว เมื่อวันที่ “เกาะช้าง” ถูกยกให้เป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมาย ที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน) หรือ อพท. และสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) ร่วมกันปลุกปั้นให้เป็นดินแดนแห่ง Low Carbon Destination การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ด้วยโลเคชั่นของโรงแรม เราอยู่ในฝั่งที่ค่อนข้างเงียบ และไม่ติดทะเล ดังนั้นการทำอะไรที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นบนเกาะช้าง เป็นสิ่งจำเป็นมาก”

“ทญ.พีรนุช อ่อนอินทร์” ผู้ก่อตั้ง เดอะ สปา เกาะช้าง รีสอร์ท บอก “ข้อจำกัด” ที่นำมาสู่การกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ หลังซื้อที่ดินฝั่งตะวันออกของเกาะช้าง มาประมาณ 8 ไร่ เมื่อ 9 ปีก่อน ที่ดินราคาถูก แต่แลกมาด้วยโลเคชั่นที่ห่างไกล และไม่ติดทะเล เลยอยู่นอกสายตาแหล่งท่องเที่ยว

ทำอย่างไรให้ทำเลแสนมืดบอด กลายเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวได้ เธอเลยคิดปรับที่นี่ให้เป็นรีสอร์ทสุขภาพ รับจุดแข็งของการอยู่ริมอ่าวสลักคอก ที่อุดมไปด้วยป่าโกงกาง และระบบนิเวศน์ ที่สมบูรณ์ที่สุดในเกาะช้าง โดยเริ่มจากใช้ทางลัดไปซื้อโนว์ฮาวโปรแกรมล้างพิษมาจากเดอะ สปา รีสอร์ท ที่สมุย เนื่องจากได้รับการยอมรับในตลาดโลก

ทั้งคอร์สสุขภาพ เมนูอาหาร กระทั่งการบริการ จึงมืออาชีพไม่ต่างจากเดอะ สปา ที่สมุย ทว่าที่แตกต่างคือการออกแบบที่นี่ให้เป็นรีสอร์ทรักษ์แวดล้อมโดยสมบูรณ์

“เรามองว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องเดียวกัน จึงหันมาจัดการรีสอร์ทให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

ผู้ก่อตั้ง เดอะ สปา เกาะช้าง สะท้อนความคิด ก่อนประกาศตัวอยู่ข้างเดียวกับโลก โดยไม่ต้องลงทุนระบบอะไรใหญ่โต แต่เริ่มจากวิธีการง่ายๆ ตั้งแต่ใช้ไม้เก่ามาทำรีสอร์ท เพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า ระหว่างก่อสร้างรีสอร์ท ก็พยายามรักษาต้นไม้เก่าแก่ไว้ให้มากที่สุด แม้เป็นรีสอร์ที่ดอกไม้ละลานตา แต่ที่นี่จะไม่มีการตัดมาปักแจกัน เพราะมองว่า คงความสวยอยู่ได้สองสามวันก็ต้องทิ้งเป็นขยะแล้ว สู้ให้สวยนิรันดร์อยู่กับธรรมชาติก็ไม่ได้

น้ำเสียที่ผ่านกระบวนการบำบัด จะนำไปกรองและผสมกับน้ำดิบ แล้วส่งผ่านสปริงเกอร์เพื่อใช้รดน้ำต้นไม้ และปล่อยออกมาทุกเที่ยงคืน เพื่อไม่ให้มีกลิ่นรบกวนแขกที่เข้าพัก

บริหารจัดการรีสอร์ทให้ก่อขยะให้น้อยที่สุด อย่างไม่มีถุงพลาสติกรองถังขยะในห้อง ไม่มีพลาสติกห่อแก้ว ห่อของ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ไม่เลือกแบบ ใช้แล้วทิ้ง ให้เป็นขยะ ผ้าเช็ดมือ ใช้ผ้าปูที่นอนรีไซเคิลมาทำ ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวสีขาว เพราะวันที่สีหม่นก็ต้องใช้น้ำยาฟอกผ้าขาว ซึ่งไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในห้องนอนติดมุ้งลวด มีพัดลมไว้บริการ เพื่อที่หน้าฝน อากาศเย็น ลูกค้าจะได้สัมผัสอากาศธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพิงแอร์ให้รบกวนโลก
ของแถมจากการรักษ์โลก คือ รีสอร์ทสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และช่วยเซฟค่าพลังงานลงได้

“ทำมาถึงวันนี้โอเคมาก ส่วนหนึ่งทำแล้วสามารถประหยัดได้จริง อย่าง ถุงพลาสติก สมัยก่อนจะใช้เยอะมาก อย่าง กุ้งเราจะใส่ถุงพลาสติกแล้ววางซ้อนๆ กันไว้ ตอนหลังไม่ต้อง ใส่กล่องรวมแล้วใช้วิธีนับตัวเอา ลดการใช้พลาสติกได้”

หนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้หันมาทำเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งกับชุมชนที่มีวิถีสีเขียว

“เราอยู่ติดกับอ่าวสลักคอก ซึ่งเป็นชุมชนที่กระตือรือร้นเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ดังนั้นเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนก็ต้องไม่ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนด้วย”

นั่นคือเหตุผลที่ เดอะ สปา เกาะช้าง ต้องมาบริหารจัดการของเสียจากรีสอร์ท ไม่ให้หลุดไปสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมของชุมชน เวลาเดียวกันก็เข้าร่วมประชุมประชาคมกับชุมชนทุกๆ เดือน เพื่อรับทราบข่าวสาร และเข้าร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่ชุมชนจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกาศตัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ไม่ใช่คนแปลกหน้า

ขณะที่พนักงานส่วนใหญ่ ก็เลือกจ้างงานคนในชุมชน

“พอเข้าหน้าฝนทุกอย่างโลว์ไปหมด แต่ที่ไม่โลว์คือ เงินเดือนพนักงาน กับค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งเราใช้พนักงานเยอะมากประมาณ 35 คน จึงมีต้นทุนด้านนี้เยอะ แต่ในใจมองว่า มันเหมือนการแบ่งปันนะ เพราะ 60% ของพนักงาน ก็เป็นคนพื้นถิ่นที่นี่ เราดูแลเขาหนึ่งคน เขาไปดูแลคนในบ้านอีกตั้งหลายคน เลยไม่รู้สึกท้อ ก็แบ่งปันกันไป เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้”

การปรับตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับคนและชุมชน กลายเป็นจุดแข็งจุดขายที่สร้างความยั่งยืนให้กับรีสอร์ทแห่งนี้ โดยเฉพาะกระแสการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก

“สำหรับลูกค้าต่างชาติ เขาเข้าใจนะ โอเคมากเลย ลูกค้าคนไทยก็เริ่มเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งเราก็พยายามอธิบายให้ฟังว่า ทำไมถึงเลือกทำแนวทางนี้ อย่างที่บอก คนที่มาที่นี่ ถ้าไม่ตั้งใจมาก็มาไม่ถึง เป็นอะไรที่ต้องตั้งใจมาจริงๆ ฉะนั้นคนที่มาก็เหมือนกับ เป็นคนพันธุ์เดียวกับเรา และเขาเข้าใจเรื่องพวกนี้”

จากรีสอร์ทในพื้นที่ห่างไกล ไม่ติดทะเล ทว่าวันนี้จุดขายเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำให้พวกเขาดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ให้แวะเยือนมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นลูกค้าต่างชาติที่ประมาณ 80-85% ในจำนวนนี้ 60% มาใช้บริการโปรแกรมล้างพิษ ส่วนอีก 40% มาเที่ยวพักผ่อน ในอัตราค่าบริการตั้งแต่หลักพันไปจนหลักหมื่นบาท และแม้ลูกค้าไม่ได้มีเยอะมาก แต่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายของรีสอร์ทตลอดทั้งปีได้

สำหรับการทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่เริ่มต้นมาพร้อมๆ กับการก่อตั้งธุรกิจ คนทำบอกเราว่า ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมากมาย แต่สามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ขอแค่ให้ทำอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่น ซึ่งเพียงแค่มีความคิดที่อยากจะทำโรงแรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทันทีที่คิด ก็เหมือนกับก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งแล้ว

ขณะที่การทำธุรกิจท่องเที่ยว ณ วันนี้ ไม่ได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อวันที่นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะคู่แข่งในประเทศด้วยกันเอง คู่แข่งอาเซียน หรือแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก ก็พร้อมจะยื้อแย่งนักท่องเที่ยวไปได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการทำให้ตัวเองแตกต่าง จึงมีความสำคัญมาก

“ทำรีสอร์ทให้ดี เหนื่อยนะ มีปัจจัยอะไรเยอะมาก เหมือนกับไม่มีทางเลือกอื่น เราก็ต้องทำ และทำให้ดีที่สุดในความเป็นเรา โดยจะยังยึดแนวทางอย่างนี้อยู่ คือเป็นรีสอร์ทเพื่อสุขภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขายในสิ่งที่เป็นเรา”

บนจุดยืนธุรกิจ เป็นรีสอร์ทหัวใจสีเขียว ที่ประกาศอยู่ข้างเดียวกับโลก อย่างเต็มภาคภูมิ