ส.นักวิเคราะห์หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ1,612จุด

ส.นักวิเคราะห์หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ1,612จุด

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ปรับลดเป้าดัชนีสิ้นปีนี้เหลือ 1,612 จุด ลดลง 58 จุด แนะลดพอร์ตลงทุนหุ้นเหลือ 42.5% ของพอร์ตรวม

นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลสํารวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้ลงทุนสถาบันบางส่วน เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน ซึ่ง ประกอบด้วยตลาดหุ้น ตลาดทองคำ ตลาดน้ำมัน ตลาดตราสารหนี้ รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ พร้อมคำแนะนำในการลงทุน โดยสรุปแยกตามตลาดดังนี้

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้ลงทุนสถาบัน คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้น (SET Index)ในช่วง พฤษภาคม– กรกฎาคม 2558 จะอยู่ที่เฉลี่ย 1,519 จุด (เทียบกับล่าสุดอยู่ที่ 1,523 จุด) และจะปรับขึ้นไปเป็นเฉลี่ย1,612 จุดในช่วงสิ้นปีนี้ซึ่งนับว่าต่ำกว่าคาดการณ์ครั้งที่ผ่านมา (ม.ค.58) ซึ่งคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,670จุด หรือลดลง 58 จุด คิดเป็นร้อยละ 3.5 จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าและ สิ้นปี 59 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะอยู่ที่ 1,707จุด ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ผ่านมาที่ 1,804 จุด หรือ ลดลง 97 จุด หรือ ลดลงร้อยละ 5.4 จากประมาณการครั้งก่อน

ส่วนการคาดการณ์ดัชนีที่เป็นจุดสูงสุดของปี 58 จะอยู่ที่เฉลี่ย 1,662 จุด ต่ำกว่าที่คาดครั้งที่แล้ว 1,728 จุด(ลดลง 66 จุด หรือราวร้อยละ 3.8) แต่สำหรับจุดต่ำสุดปี 58 อยู่ที่เฉลี่ย 1,423 จุด สูงขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมที่ 1,390 จุด (เพิ่มขึ้น 33 จุด หรือราวร้อยละ 2.4)

ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาด ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าปัจจัยบวกมาจากปัจจัยในประเทศคือ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ รองลงมาคือ แนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย และ สภาพคล่องในตลาดเงิน ส่วนปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดในเชิงลบ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ น้ำหนักกับ ปัจจัยการเมืองในประเทศมาถึง 83.3%

ขณะที่กำไรต่อหุ้นของตลาดในปี 2558 และ ปี 2559 อยู่ที่ 96.8 บาท (ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่107.0 บาท)และ 109.5 บาท มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth)ปี 58อยู่ที่เฉลี่ย 22.1%สูงกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 15.0% สำหรับปี 59 คาดว่าอยู่ที่เฉลี่ย 13.0%

ทั้งนี้ หากพิจารณากำไรรายกลุ่ม ฯ พบว่ากลุ่มธุรกิจที่มี EPS Growth เติบโตสูงสุดในปี 58 คือ กลุ่มปิโตรเคมี (88.12%) และรองลงมาคือกลุ่มพลังงาน (72.66%) สำหรับปี 59 กลุ่มธุรกิจที่ EPS Growthจะเติบโตสูงสุดคือ กลุ่มอาหาร (18.01%) รองลงมาคือกลุ่มปิโตรเคมี (14.24%) ทั้งนี้ กลุ่มที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) มากที่สุดทั้งในปี 58 และปี 59 คือ กลุ่มสื่อสาร (4.89% และ5.71% ตามลำดับ)

กลยุทธ์การลงทุน นักวิเคราะห์และผู้ลงทุนสถาบันได้แนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นเล็กน้อยเป็น 42.5% ของเงินลงทุนรวม จาก 46% ในการสำรวจครั้งก่อนหน้า โดยแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนในตราสารหนี้ เป็น17.6% จากเดิม 14% ในขณะที่การลงทุนในต่างประเทศใกล้เคียงกับประมาณครั้งก่อนคือ 19.8% (20.5%ในครั้งก่อน) ทองคำรวมถึงโกลด์ฟิวเจอร์ส 6.7% (6.5% ครั้งก่อน) และเงินสดรวมถึงเงินฝาก 11.8% (11%ครั้งก่อน)

ทั้งนี้ เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผลสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดมั่นคง โดยทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาปรับตัวลดลง ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน โดยพิจารณาทั้งผลประกอบการและธรรมาภิบาล วางแผนก่อนลงทุน มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน

หุ้นเด่น ที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัยได้แก่ ADVANC, KBANK, KTB, SCC, THCOM เป็นต้น