ตำรวจแจงยูฟันเสียหาย 110 ล้านบาท

ตำรวจแจงยูฟันเสียหาย 110 ล้านบาท

ผู้ช่วยผบ.ตร.แจงผู้เสียหายแจ้งความยูฟัน 292 ราย เสียหาย 110 ล้านบาท พบขยายธุรกิจอีก 6 โครงข่าย

พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร พร้อมด้วย พ.ต.อ.อังกูร คล้ายคลึง รอง ผบก.ปคบ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. ร่วมกันติดตามความคืบหน้ากรณีแชร์ลูกโซ่ บริษัท ยูฟัน สโตร์ จำกัด โดยยังมีผู้เสียหายในคดีดังกล่าวทยอยเข้าแจ้งความอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายจากแชร์ลูกโซ่ยูฟัน เข้าแจ้งความที่ บก.ปคบ. แล้ว จำนวน 292 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 110 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังอยากให้ผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความ และไม่ต้องกลัวจะโดนบริษัทยูฟัน แจ้งความกลับ เนื่องจากพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีนั้น เป็นมูลฐานว่าบริษัทยูฟันมีการกระทำความผิดจริง สำหรับผู้เสียหายที่ไปแจ้งความตามสถานีตำรวจที่ต่างๆนั้น ทางพนักงานสอบสวนจะรวบรวมสำนวนคดีส่งต่อมายังพนักงานสอบสวนพิเศษที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งขึ้น เพื่อรวมเป็นสำนวนคดีเดียวกัน ก่อนจะนำส่งฟ้องศาลภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ขอยืนยันว่าไม่รู้สึกหนักใจกรณีที่บริษัทยูฟันจัดทีมทนายเพื่อต่อสู้ทางคดี เนื่องจากมั่นใจในพยานหลักฐาน และพยานบุคคล โดยการที่บริษัทยูฟันจะสู้คดีนั้นยิ่งเป็นการย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีด้วยความรัดกุมมากยิ่งขึ้น

พล.ต.ท. สุริยะ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ยูฟัน พบว่ามีโครงข่ายอีก 4-6 โครงข่าย โดยโครงข่ายที่ใหญ่ที่สุดคือโครงข่ายของนายรัฐวิชญ์ ฐิติอรุณวัฒน์ อายุ 31 ปี หรือโน๊ต ที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ร่วมโครงข่ายจำนวน 120,000 คน

ซึ่งขณะนี้กำลังทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแจ้งความ เพื่อหาบุคคลที่สมควรออกหมายจับเพิ่มเติ่ม และจากการวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มกับบริษัทยูฟัน ฐานการกระทำความผิด ใน พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ด้วย ส่วนผู้ต้องหาบางรายอาจจะเข้าข่ายตกเป็นผู้เสียหายนั้น เจ้าหน้าที่จะใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในการรวบรวมข้อมูลและคัดแยกเครือข่ายอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้คดีดังกล่าวเจ้าหน้าที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 13 ราย ถูกจับกุม 5 ราย และเข้ามอบตัว 2 ราย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 6 คน คาดว่าน่าจะเดินทางออกนอกประเทศหมดแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ทราบแล้วว่าไปในประเทศใดบ้าง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อย่างไรก็ตาม ทางการไทยได้มีการประสานจับเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลในต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามตัวผู้กระทำความผิด มาดำเนินคดีตามกฏหมาย