'หรรษา' มอบตัวคดียูฟัน ยันไม่เอี่ยวธุรกิจพี่สาว

'หรรษา' มอบตัวคดียูฟัน ยันไม่เอี่ยวธุรกิจพี่สาว

"หรรษา ธาราบัณฑิต" มอบตัวที่บก.ปคบ. คดียูฟัน ยันไม่มีเอี่ยวธุรกิจพี่สาว

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 18 เมษายน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) น.ส.หรรษา ธาราบัณฑิต อายุ 36 ปี หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ยูฟัน ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นสาขาย่อยของบริษัทยูฟัน สโตร์ จำกัด ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.อังกูร คล้ายคลึง รอง ผบก.ปคบ. หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

น.ส.หรรษา เปิดเผยว่า การเข้ามอบตัวในครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากตัวเองไม่เคยหลบหนี แต่ที่ไม่อยู่ในบ้านพักก่อนหน้านี้ เพราะมีธุระที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหลังจากเสร็จธุระระหว่างทางที่จะกลับกรุงเทพฯ ได้เห็นข่าวว่าตนถูกออกหมายจับในคดีแชร์ลูกโซ่ของบริษัทยูฟันด้วย ซึ่งยอมรับว่าตกใจมาก และจึงตัดสินใจเข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในส่วนกรณีที่เอกสารระบุว่า ตนเป็นผู้ถือหุ้นหรือเกี่ยวข้องกับบริษัท ยูฟันนั้น เกิดจากการที่ น.ส.ณมนพรรณ์ ธาราบัณฑิต ซึ่งเป็นพี่สาว ขอสำเนาบัตรประชาชนไป โดยในครั้งแรกที่ให้ไป ตนไม่ทราบว่านำไปทำอะไร และไม่ได้เอะใจ เนื่องจากเป็นพี่สาวแท้ๆ เพิ่งจะมาทราบภายหลังว่า น.ส.ณมนพรรณ์ นำไปเปิดพอร์ตในบริษัท ยูฟัน ทั้งยังใช้ชื่อตนเป็นหุ้นส่วนในการเปิดบริษัท ยูฟัน ประเทศไทยอีกด้วย แต่ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องราวตามมาภายหลัง แต่ยอมรับว่าเมื่อกลางปีที่แล้วเคยไปฟังบรรยายเกี่ยวกับธุรกิจที่บริษัท ยูฟัน สโตร์ สำนักงานใหญ่ ย่านบางนา แต่ไม่สนใจจึงไม่ได้เข้าร่วมธุรกิจ

ทั้งนี้ ตนเคยไปช่วยงานน.ส.ณมนพรรณ์ เนื่องจากน.ส.ณมนพรรณ เป็นแม่ข่าย ดังนั้นจึงมักเดินทางไปเป็นวิทยากรบรรยายธุรกิจบ่อยครั้ง รวมทั้งตนยังเปิดบัญชีธนาคารในชื่อตนเองให้กับน.ส.ณมนพรรณ์ ในการใช้โอนเงินเข้าบริษัทยูฟัน แต่รายละเอียดของบัญชี รหัส รวมถึงข้อความและเอกสารการโอนเงินเข้าและออก น.ส.ณมนพรรณ์ เป็นผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว ตนไม่เคยได้รับเงินหรือข้องเกี่ยวใด ทั้งนี้ขอยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางบริษัทแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพบเอกสารการโอนเงินมูลค่า 5 แสนบาท ซึ่งระบุชื่อ นายศิริชัย พลีการ นั้น น.ส.หรรษา กล่าวว่า เงินเหล่านั้นเป็นเงินจากการประกอบธุรกิจของสามี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว ซึ่งตนและสามีประกอบธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือในห้างบิ๊กซี ย่านสะพานใหม่ มานาน 13 ปี รวมทั้งขายเครื่องมือทางการแพทย์ และรับเหมาก่อสร้าง โดยล่าสุดสร้างอพาร์ทเม้นท์ 5 ชั้น มูลค่า 18 ล้าน ย่านรัชโยธิน ในส่วนของการพบอีเมลกว่า 10 อีเมลนั้น เป็นเพราะใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในกลุ่มธุรกิจของตน ซึ่งขอปิดเป็นความลับ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับคดีดังกล่าว

พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวว่า การดำเนินงานในคดีนี้เป็นการร่วมกันทำงานจากทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ฯลฯ ซึ่งได้มีการสอบปากคำอย่างละเอียด พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน และจะมีการทำงานแบบบูรณาการกับทุกหน่วยงาน โดยเมื่อวันที่ 16 เมษายน ทางตำรวจได้มีการประสานไปยังตำรวจประเทศมาเลเซีย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันตลอด ขณะที่ในส่วนของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทางอัยการสูงสุด และกองการต่างประเทศ กำลังแปลสำนวนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนำส่งออกไปยังประเทศที่มีสนธิสัญญา โดยในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีความคืบหน้า นอกจากนี้ ทาง ปคบ.ได้ประสานทาง ตม.เพื่อตรวจสอบผู้เข้าและออกประเทศตามด่านต่างๆ และยืนยันขอให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อสามารถเข้าแจ้งความร้องทุกข์ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด

“ยืนยันว่าทางตำรวจจะไม่มีการปิดเว็บไซต์ของบริษัท ยูฟันเด็ดขาด เนื่องจากหากปิด ทางบริษัทจะอ้างว่า เพราะตำรวจปิดเว็บทำให้ต้องหนี และไม่สามารถจ่ายเงินให้กับสมาชิกได้ ดังนั้น ผมต้องการทำให้รู้ว่าถ้าบริษัทล้ม ก็ล้มและไม่มีเงินจ่ายสมาชิก เป็นเพราะตัวพวกคุณเอง ไม่ใช่ตำรวจปิดเว็บคุณ” ผู้ช่วย ผบ .ตร.กล่าว 

ขณะที่ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวะกุล ผอ.ส่วนตรวจ 2 สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ และศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ดีเอสไอ กล่าวว่า ทางดีเอสไอจะช่วยสนับสนุนข้อมูลในคดีดังกล่าว เนื่องจากทางดีเอสไอเก็บข้อมูลเหล่านี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว โดยจะยังไม่รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากทางตำรวจเป็นเจ้าของคดี และมีอำนาจในคดีเด็ดขาด จึงขอช่วยในเรื่องของข้อมูลเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หากมีอะไรให้ช่วยเหลือ ตำรวจสามารถประสานมาได้ทุกเวลา