น้ำ(ใจ)ล้นอันทาลยา

น้ำ(ใจ)ล้นอันทาลยา

ภาพที่ผมจินตนาการไว้ก่อนจะมาถึงเมืองอันทาลยา เป็นภาพความละลานตาของนักท่องเที่ยวทั้งชาวตุรกี และชาวต่างชาติ เดินขวักไขว่

กางเสื่อนอนกันริมชายหาดทรายสีขาว ท้าลม ท้าแดด ย้อมร่างกายด้วยไออุ่นจากดวงอาทิตย์เพื่อขับสีผิวให้เข้มขึ้นตามความนิยม เสียงคลื่นจากทะเลที่ซัดเข้าฝั่ง เข้าทำนองกับวงดนตรีนับร้อยที่เรียงรายริมหาด อืม...อันทาลยาช่างคึกคักสมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของตุรกีจริงๆ


แต่เดี๋ยวก่อน...ความเป็นจริงคือ ผมและหลี่ถิง หอบข้าวของพะรุงพะรัง พับขากางเกงคนละแปดทบ และใส่รองเท้าแตะ เพราะฝนตกจนน้ำซึมเข้าไปในรองเท้าจนเริ่มเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ วิ่งกระเซอะกระเซิงอยู่ในย่านเมืองเก่าของอันทาลยาตอนเวลาเกือบสี่ทุ่ม เพื่อหาที่พักที่ได้จองไว้ ตึกรามบ้านช่องโบราณดูมีมนต์ขลัง ตรอกซอกซอยมืดสลัวแถมยังดูเหมือนกันไปหมด ทำให้บรรยากาศเหมือนเราเดินวนอยู่ในเขาวงกต!


ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ตอนยังอยู่ระหว่างการเดินทางบนรถบัส มีผู้โดยสารชาวตุรกีคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยกับเรา โดยเสนอตัวพาเราไปส่งที่โฮสเทล


“ผมรู้จักอันทาลยาทุกซอกทุกมุม!”


“คุณเกิดที่นั่นเหรอ?”


“เปล่า แฟนผมอยู่ที่นั่นน่ะ โฮสเทลของคุณอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถนักหรอก ผมไปส่งคุณได้นะ แถวนั้นทางเดินค่อนข้างวกวนน่ะ มืดแล้วด้วย”


“เยี่ยมเลยครับ งั้นก็คงต้องขอรบกวนนะครับ”


“ไม่มีปัญหา! ผมชอบคุยกับนักท่องเที่ยวมากเลย จะได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวด้วย ว่าแต่คุณจะพอเลี้ยงชาผมที่จุดพักรถซักแก้วได้ไหม”


“ได้สิครับ” ที่จุดพักรถ ผมสั่งชามาสองแก้ว ให้เขาหนึ่งแก้ว และดื่มเองหนึ่งแก้ว


สามนาทีผ่านไป เขาขอให้ผมเลี้ยงชาอีกหนึ่งแก้ว ผมตอบตกลง


สองนาทีผ่านไป พนักงานรถบัสส่งสัญญาณว่ารถจวนจะออกแล้ว แต่เขาขอให้ผมเลี้ยงชาอีกหนึ่งแก้ว รอบนี้ผมปฏิเสธ และเริ่มไม่ค่อยสนิทใจขึ้นมา มีความรู้สึกเหมือนกำลังจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จึงขอตัวไปขึ้นรถ ส่วนเขาเดินไปคุยกับคู่รักนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่นั่งอยู่ถัดไปให้เลี้ยงชาแก้วที่สามได้สำเร็จ


เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้หลี่ถิงที่รออยู่บนรถฟัง จึงตัดสินใจกันว่า เราไปกันด้วยตัวเองดีกว่า จะหลงบ้างก็ไม่เป็นไร ให้เป็นสีสันของการเดินทาง วันหลังจะได้เอาไปเล่าให้เพื่อนคนอื่นฟังขำๆ ได้


ภาพตัดกลับมา... เป็นมนุษย์บ้าหอบฟางสองคนที่เดินวนไปวนมาย่านเดิมอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แถมยังเปียกโชกกันไปทั้งตัว แม้จะพยายามถามจากคนท้องถิ่นถึงสามครั้ง แต่ทั้งสามคนก็บอกเส้นทางที่ไม่เหมือนกันเลย (มารู้ทีหลังว่ายังมีโฮสเทลอีกสองที่ ที่มีชื่อคล้ายที่พักของเรา) สิริรวมทั้งสิ้น 50 นาที เราจึงเข้าถึงที่พักได้สำเร็จ ด้วยสภาพคล้ายนักประดาน้ำเพิ่งขึ้นฝั่ง


มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ว่าฟ้าหลังฝนนั้นสดใสเสมอ...จากการสอบถามเจ้าของที่พักแล้ว ในฤดูที่อากาศอบอุ่น เมืองนี้จะแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยว ชนิดที่แทบจะเดินชนกันตลอดเวลาเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ในช่วงเวลาที่เราอยู่... เพราะจนถึงเช้าวันถัดมา ฝนก็ยังคงไม่หยุดตก


เมื่อไม่รู้ว่าฟ้าหลังฝนจะมาถึงเมื่อไหร่ ถ้ามัวแต่รอไปก็คงจะเสียเวลา เราจึงออกไปเที่ยวกันแบบฝนตกๆ เสียเลย! หลี่ถิงพกร่มมาอยู่แล้ว ส่วนผมนั้นไปขอยืมมาจากเจ้าของที่พัก


อันทาลยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของตุรกีที่ติดกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แบ่งเป็นฝั่งเมืองเก่า ที่เก่ามาก เต็มไปด้วยมัสยิดนับร้อยแห่ง แกลลอรี่ที่แสดงศิลปะพื้นบ้าน สินค้าทำมือ ทั้งเครื่องถักเครื่องทอ สินค้าพื้นเมืองอย่างชาชนิดต่างๆ ที่เจ้าของร้านหลายแห่ง มักจะเชิญชวนให้ได้เข้าไปลองลิ้มชิมรสอยู่เสมอ รวมทั้งยังมีโรงอาบน้ำโบราณแบบตุรกีให้ได้ขัดสีฉวีวรรณกันอีกด้วย


ส่วนอีกฝั่งคือเมืองใหม่ ที่ใหม่มากเช่นกัน เรียงรายด้วยตึกสูง ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นทันสมัย ร้านอาหารและบาร์ตามแบบตะวันตก ซึ่งทั้งสองฝั่งห่างกันด้วยถนนกั้นเพียงเส้นเดียวเท่านั้น


ความผสมผสานกันอย่างลงตัวของร่องรอยอารยธรรม ความทันสมัย และทะเล คือสิ่งที่ผมคิดว่าทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์เหลือล้น และทำให้ผู้คนตกหลุมรักได้ไม่ยาก


อีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของอันทาลยาคือ อาหารทะเล โดยเราได้ตามไปพิสูจน์ความสดกันที่ชายทะเล เชื่อแล้วว่าสดจริงๆ เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยเหล่านักตกปลา ที่ยืนท้าฝนกันหลายสิบคน ณ จุดนี้เราได้เห็นความเป็นคนสบายๆ และยืดหยุ่นที่คล้ายคลึงกับคนไทยอีกครั้งหนึ่งจากชาวตุรกี เมื่อนักขว้างเบ็ดมือฉมังทั้งหลายนั้น ยืนปฏิบัติงานกันอยู่ข้างๆ ป้ายห้ามตกปลาในบริเวณนี้ โดยปลาที่พวกเขาตกได้ ก็จะถูกซื้อขายลำเลียงไปยังห้องครัวของร้านอาหารที่ตั้งอยู่ละแวกใกล้เคียง เพราะฉะนั้นสดกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว!


หลังจากเดินสำรวจเมืองได้ซักพัก ฝนก็เริ่มตกหนักมากขึ้น เราจึงแวะพัก เปลี่ยนบรรยากาศจากการสัมผัสน้ำฝนมาโดนน้ำชากันบ้างที่ร้านแห่งหนึ่งย่านฝั่งเมืองใหม่ คนตุรกีนิยมดื่มชากันมากนะครับ เรียกได้ว่าในหนึ่งวันนั้นแทบจะดื่มมากกว่าน้ำเปล่าเสียอีก ถ้ามีเวลาว่างก็มักจะดื่มชานั่งพูดคุยกัน หรือบางคนเดินๆ อยู่ตามท้องถนนแล้วเกิดคอแห้ง ก็แวะซื้อชาร้อนหนึ่งแก้ว แล้วยืนดื่มตรงนั้น ก่อนจะออกเดินต่อไปก็มี


ด้านรสชาตินั้น ชาตุรกีต้นตำหรับมีกลิ่นหอมละมุนละไม ที่ค่อนข้างชัดเจนกว่าประเทศเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง แถมยังเพิ่มความหลากหลายด้วยการมีรสและกลิ่นอื่นๆ ให้เลือกอีกนับสิบๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นชากลิ่นผลไม้อย่างแอปเปิ้ล พีช กระเจี๊ยบหรือทับทิม ชากลิ่นดอกไม้อย่างกุหลาบ และเก๊กฮวย หรือชากลิ่นเครื่องเทศอย่างหญ้าฝรั่น ตุรกีจึงเปรียบเหมือนสวรรค์อีกชั้นหนึ่งของนักดื่มชา ไม่แปลกใจที่ผู้ชายบนรถบัสที่อาสามาส่งเรา จะดื่มชาร้อนติดๆ กันสามแก้วรวดในเวลาเพียงห้านาที และร้านนี้ก็อุดมไปด้วยนักดื่มเช่นกัน แม้จะมีโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมาก แต่คนที่มาใหม่ก็ถึงกับต้องเข้าคิวรอกันเลยทีเดียว


ไม่นานเกินไปนักเราก็ได้โต๊ะนั่ง ทันทีที่หลังแตะพนักพิง หลี่ถิงก็เริ่มออกอาการถ่านหมดอย่างเห็นได้ชัด เพราะโดนความหิวเข้าจู่โจม เธอจึงสั่งขนมปังปิ้งมากินคู่กับชา ผมแอบเห็นพนักงานคนหนึ่งเดินลุยฝนออกไปจากร้าน หายไปประมาณเกือบสิบนาที และเดินกลับเข้ามาพร้อมขนมปังปิ้งร้อนๆในจานให้พวกเรา


สร้างความประทับใจให้พวกเราทันที! แม้อยากจะชวนพูดคุย ก็สื่อสารกันได้ไม่มาก เพราะกำแพงภาษาเช่นเคย สิ่งที่พอจะเข้าใจกันก็เป็นประโยคง่ายๆ เขาบอกว่าชอบเสื้อแจ็คเก็ตของเรา แต่เราชอบในน้ำใจของพวกคุณ


เราเดินกลับที่พักเมื่อฝนเริ่มเบาลง เป้าหมายต่อไปคือ คัปปาโดเคีย ดินแดนโบราณแห่งที่ราบอนาโตเลีย ที่ลือชื่อว่ามีภูมิทัศน์งดงาม โดยจะค้างคืนกันบนรถบัส และถึงตอนเช้าในวันถัดไปพอดี เมื่อจัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เราจึงเช็คเอาท์ และบอกลาเจ้าของโฮสเทล ผมยื่นร่มที่ยืมมาเมื่อเช้าคืนให้ แต่เขาไม่รับ


“พกไปเถอะ เผื่อวันข้างหน้าฝนตกอีก จะได้มีใช้”


ร่มคันนี้ติดตัวผมไปพร้อมกับน้ำใจของเขาตลอดการเดินทางในตุรกี...