'วิษณุ'แจงทูต-สื่อต่างชาติ ยันม.44 ไม่ใช่อาวุธกำจัดฝ่ายใด

'วิษณุ'แจงทูต-สื่อต่างชาติ ยันม.44 ไม่ใช่อาวุธกำจัดฝ่ายใด

“วิษณุ-วินธัย-วีรชน” แจงคณะทูตต่างชาติ องค์การระหว่างประเทศ สื่อต่างชาติ ยืนยัน ม.44 ไม่ใช่อาวุธกำจัดฝ่ายใด แต่ใช้คุมสถานการณ์ไม่ปกติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.40 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย พร้อมด้วย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค คณะทำงานนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายพิริยะ เข็มพล รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมบรรยายสรุปเกี่ยวกับประกาศ คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ให้กับเอกอัครราชทูต ประจำประเทศไทย 16 ประเทศ ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตองค์กรระหว่างประเทศ รวมกว่า 60 แห่ง และสำนักข่าวต่างประเทศ เป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ในการบริหารงานของ คสช. ที่ผ่านมา พบว่า มีเสียงสะท้อนจากต่างชาติที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อคลายความสงสัย ว่าปัญหาหลักในการบริหารบ้านเมืองที่ผ่านมา คือความขัดแย้งในสังคมที่เกิดจากการบิดเบือนข่าวสาร ใช้สื่อในการปลุกระดมให้เกลียดชังกัน ใช้อาวุธสงครามที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย และการหมิ่นสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และกระทบต่อความมั่นคงและสังคมอย่างรุนแรง จึงต้องมีเครื่องมือพิเศษให้เจ้าหน้าที่ใช้ในการดำเนินการควบคุมสถานการณ์

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เครื่องมือในการรักษาความสงบ ที่ผ่านมา คสช. ได้ใช้กฎอัยการศึก ซึ่งมีความระมัดระวังและใช้เท่าที่จำเป็น คือเพียง 2-3 ข้อ จากทั้งหมด 15 ข้อ ร่วมกับการขอความร่วมมือตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ให้สถานการณ์มีความเรียบร้อย และพัฒนาไปในทิศทางที่ดี โดยเห็นได้จากข้อมูลความเห็นประชาชนทางสถิติ และเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากช่วงก่อน 22 พฤษภาคมเป็นอย่างมาก

พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม คสช. ยังเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้ช่องทางตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 โดยมีสาระสำคัญ คือให้เจ้าพนักงานจับกุมผู้กระทำความผิด 4 ลักษณะ คือต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคง อาวุธสงคราม และการฝ่าฝืนประกาศ คสช. รวมถึงการจำหัดการนำเสนอข่าวที่กระทบกับความสงบเรียบร้อย และห้ามชุมนุมทางการเมือง ซึ่งขอยืนยันว่า เป็นเครื่องมือเสริมพิเศษ ที่ดูแลชีวิตและทรัพย์สินในช่วงเวลาไม่ปกติ ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบ

ด้านนายวิษณุ ระบุว่า มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อยู่ในรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และได้เคยใช้อำนาจดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อยืดวาระผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในอนาคตจะใช้อำนาจตาม ม.44 อีก ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่นปัญหากรมการบินพลเรือน ปัญหาการเกษตร หรือการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากการใช้อำนาจปกติจะใช้เวลามากและไม่ทันการณ์ ดังนั้น มาตรา 44 จึงเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยช่องทางปกติ ไม่ใช่อาวุธในการกำจัดฝ่ายใด แต่เป็นการควบคุมสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังมีรายงานว่า มีผู้สร้างสถานการณ์ไม่ปกติ 5 กลุ่ม คือ ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีต กลุ่มทุนทางเศรษฐกิจ หรือผู้มีอิทธิพลที่เสียประโยชน์จากการจัดระเบียบสังคม กลุ่มที่สร้างสถานการณ์ขัดขวางการดำเนินการตามโรดแมป กลุ่มที่สร้างสถานการณ์ความไม่สงบ และกลุ่มที่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สังคม

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า อำนาจที่คล้ายคลึงกับมาตรา 44 นี้ เคยมีมาแล้วในรัฐธรรมนูญในอดีตในช่วง 5 รัฐบาล ครั้งแรกในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ต่อมาเป็นรัฐบาลของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร รัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นการนำหลักการมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ปี 1958 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีฝรั่งเศสในการออกคำสั่ง หรือกระทำการใดๆที่จำเป็น เมื่อมีสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้เหตุผลที่เลือกใช้อำนาจตามมาตรา 44 เนื่องจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์ รวมถึงกองทัพยังต้องการมีอำนาจพิเศษ ที่มีความชัดเจนกว่าในกฎอัยการศึกหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องประกาศใช้โดยอ้างเขตพื้นที่เป็นหลัก ขณะที่ถ้าหากประกาศคำสั่ง คสช. จะอ้างฐานความผิดเป็นหลัก

นายวิษณุ กล่าวว่า นอกจากนั้น คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาสามารถต่อรองไม่ต้องรับความผิดได้ โดยการเข้ารับการอบรม เพื่อไม่ต้องถูกฟ้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีในกฎหมายอื่น ซึ่งความแตกต่างในการใช้กฎอัยการศึก กับคำสั่งตามมาตรา 44 คือ 1.ประเทศไม่ได้อยู่ใต้กฎอัยการศึกอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นผลดีในเรื่องการท่องเที่ยว และลดความรุนแรงในสายตาประชาคมโลก 2.เจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดต่อฐานความผิด 4 กลุ่มเท่านั้น 3.เจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียก จับกุม ค้น ยึด เข้าในเคหะสถาน ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง และกักตัวผู้ต้องหาได้ 7 วันเท่านั้น 4.การชุมนุมทางการเมืองเป็นไปได้ หากมาขออนุญาตจากคสช. 5.ความผิดของผู้ฝ่าฝืนประกาศ คสช. สามารถยกเลิกได้ด้วยการเข้ารับการอบรม 6.คำสั่งมีความรุนแรงน้อยกว่ากฎอัยการศึก และมีวิธีการไต่สวนที่นำมาจากกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา และ 7.ผู้กระทำผิดตามฐานความผิด 4 ประเภท จะได้รับการไต่สวนโดยศาลทหาร ซึ่งสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ และบางคดีอาจยกฟ้องได้ ทั้งนี นายวิษณุ ระบุว่า คสช. จะไม่ออกคำสั่งเพิ่มได้แล้ว ยกเว้นจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 อีก การจับกุมผู้กระทำผิดประกาศ คสช. จึงเป็นความผิดตามฐานคำสั่ง เดิม เช่นการห้ามการชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตเบลเยียม สอบถามว่า จะทราบได้อย่างไรว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งนายวิษณุ ชี้แจงว่าผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยและต่างชาติไม่มีอะไรต้องกลัว โดยหากต้องการรู้ว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ สามารถขอให้แสดงบัตรประจำตัวได้ โดยเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามคำสั่ง คสช. นี้ จะต้องได้รับการแต่งตั้งจาก หัวหน้าคสช. เท่านั้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการแต่งตั้ง โดยพ.อ.วีรชน กล่าวเสริมด้วยว่า ขอให้สถานทูตต่างๆ แจ้งประชาชนของตนด้วยว่า หากพบเจ้าหน้าที่ของไทย ก็ขอให้รู้สึกปลอดภัย และไม่มีเรื่องต้องกังวล