พท.รุมอัดใช้ม.44รวบอำนาจไว้ที่คนเดียว

พท.รุมอัดใช้ม.44รวบอำนาจไว้ที่คนเดียว

"ภูมิธรรม"ระบุใช้ม.44 อันตราย เหตุเพราะรวบอำนาจไว้ที่คนๆเดียว จี้เร่งคืนเลือกตั้งจะช่วยได้ ขณะที่"วรชัย"ย้ำเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวทางจะเลิกใช้กฎอัยการศึกและเปลี่ยนมาใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าเป็นการริเริ่มที่ดีที่คิดจะเลิกใช้กฎอัยการศึก รัฐบาลคงมองเห็นสภาพปัญหา จึงตัดสินใจเรื่องนี้ เข้าใจว่าหลักสำคัญก็เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้นานาชาติและให้คนมาท่องเที่ยวพักผ่อน แต่การจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวดูแล้วเนื้อหาไม่ต่างกัน หนำซ้ำจะหนักกว่าเดิมด้วย เพราะอำนาจสิทธิขาดทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้าคสช. มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ เหมือนมาตรา 17 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่มาตรา 17 ตอนนั้นยังอยู่เหนือแค่บริหารและนิติบัญญัติ ไม่มีตุลาการ แต่มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ อยู่เหนืออำนาจทั้งหมด

"ตามหลักการประชาธิปไตยทั่วไปแล้ว ไม่ควรให้อำนาจคนๆเดียว จำเป็นต้องมีระบบถ่วงดุล ตรวจสอบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย ต่างชาติอาจไม่เข้าใจเหมือนเดิม ตนเชื่อว่าคนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย จะต้องศึกษาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงรายละเอียดในข้อกฎหมายนี้ว่าเป็นอย่างไร เพราะเขามาลงทุนหลักพัน หลักหมื่นล้าน คงไม่มาโดยไม่ศึกษา ฉะนั้นการเปลี่ยนชื่อกฎหมายจากกฎอัยการศึกมาเป็นมาตรา 44 ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของการกระทำมากกว่า รัฐบาลต้องแก้ปมปัญหาว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไร ความมั่นคงหรืออะไรต่างๆ ก็ต้องไปแก้ตรงนั้น อย่างไรก็ตามคิดว่าตอนนี้สถานการณ์พอไปได้ รัฐบาลจะเลิกกฎอัยการศึกก็ถูกต้องแล้ว แต่รัฐบาลจะบริหารจัดการอย่างไรต่อไปต้องคิดเอง ส่วนตัวเชื่อว่าการเร่งให้มีการเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย กลับสู่ภาวะเป็นปกติ ถ้าจะใช้จริงต้องระบุขอบเขตให้ชัด"นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่ารัฐบาลตั้งเป้าชัดเจนว่าจะใช้มาตรา 44 ควรจะมีการระบุขอบเขตการใช้อำนาจให้ชัดเจนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แน่นอนต้องพูดให้ชัด ว่าขอบเขตการใช้อำนาจเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์อะไร หรือสถานการณ์อย่างไรถึงจะนำมาตรานี้มาใช้ เพราะขณะนี้รัฐบาลก็มีกลไกแทบทุกอย่างอยู่แล้ว ขอย้ำว่าการใช้มาตรา 44 ต้องระมัดระวัง เพราะอำนาจทั้งหมดเป็นดุลพินิจของคนๆเดียว

"วรชัย"ซัดใช้ ม.44 เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่  

ขณะที่นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า การเปลี่ยนจากกฎอัยการศึกมาเป็น มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะหัวหน้าคสช.ยังมีอำนาจเต็มที่ เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ความจริงลดระดับลงมาใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง อย่างเดียวก็พอ หากรัฐบาลต้องการสร้างความเชื่อมั่น สร้างศรัทธาให้ทุกฝ่าย สิ่งที่ต้องทำคือจัดการเลือกตั้งตามโรดแม็ป สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า แต่วันนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหมกลับออกมาระบุว่าจะเลือกตั้งกลางปีหน้า เลื่อนออกไปอีก 6 เดือน ถ้าเลื่อนไปเรื่อยทีละขยัก ความเชื่อมั่นของประชาชนก็จะหดหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน ขณะที่การเขียนรัฐธรรมนูญนั้น ตนเกรงว่าพล.อ.ประยุทธ์จะถูกวางยาจากคนกันเอง คนที่เขียนรัฐธรรมนูญเป็นคนของใครก็รู้กันอยู่ เขียนออกมากันแบบนี้ก็สืบทอดอำนาจชัดเจน ประชาชนคงยอมรับได้ยาก และอาจเกิดเป็นวิกฤติซ้ำอีกรอบ ตนไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันอีกแล้วเลือกตั้งตามโรดแม็ปคือทางออก

นายวรชัย กล่าวว่า วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ต้องหยุดใช้มาตรการทางทหาร ลดระดับการคุมเข้ม ไม่ใช่ว่าใครพูดไม่ถูกใจก็เรียกไปพบ ใครคิดเห็นต่างทางการเมืองก็จับหมด เวลาไปไหนมาไหนพล.อ.ประยุทธ์ก็ทราบดีว่าเขาต่อต้านเรื่องนี้ขนาดไหน เขารังเกียจเผด็จการอย่างไร วันนี้คนกันเองที่เคยร่วมสู้กันมาก็กลับมาถล่มพล.อ.ประยุทธ์เสียแล้ว ข้าราชการก็ใส่เกียร์ว่างหมด วิกฤติการเมืองก็ลามไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธามากๆ พล.อ.ประยุทธ์จะรับมือไม่อยู่อย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงย้ำว่าต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งให้ชัด ไม่ใช่เลื่อนไปเรื่อยๆ และรัฐธรรมนูญต้องปรับกันใหม่ไม่เอารูปแบบนี้ โดยช่วงระยะนี้พล.อ.ประยุทธ์ต้องเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าแก้ได้ท่านจะเป็นวีรบุรุษ คราวหน้าท่านลงเลือกตั้งได้เลย ประชาชนจะเลือกท่านด้วย

"สุริยะใส"ชี้ใช้ ม.44 แก้ปัญหาปลายเหตุ  

ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมพิจารณาใช้ มาตรา 44 แทนประกาศกฎอัยการศึึก ว่า ตนเห็นว่าการที่ คสช.เตรียมยกเลิกกฎอัยการศึก แล้วหันมาใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้นเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แม้อาจลดแรงกดดันจากต่างชาติได้ระดับหนึ่ง แต่การใช้มาตรา 44 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกกดดันจากทั้งในและนอกประเทศ เพราะมาตรา 44 เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของผู้นำคนเดียว ที่สำคัญต้นเหตุของการกดดันจากนอกประเทศคือ ต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุดและแรงกดดันจากในประเทศก็เป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่เสียประโยชน์จากการยึดอำนาจ ฉะนั้น คสช.และรัฐบาลต้องเร่งจัดการกับกลุ่มติดอาวุธ และเอาจริงกับผู้อยู่เบื้องหลังและท่อน้ำเลี้ยงไม่ใช่ลูบหน้าปะจมูกไปวันๆ

นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่ยังแย่อย่างต่อเนื่องก็มีส่วนทำให้คนอึดอัด และกลายเป็นแนวร่วมกับกลุ่มต้านรัฐบาลไปโดยปริยาย การเร่งสร้างผลงานและการแก้ปัญหาปากท้อง และตรากฎหมายเพื่อปฏิรูปจริงๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน ลำพังกลุ่มต่อต้านไม่มีความชอบธรรมเท่าไรนักในการกดดันรัฐบาลเพราะสังคมรู้ทัน แต่กลุ่มกลางๆหรือชาวบ้านทั่วไปน่าเป็นห่วงมากกว่า

และข้อผิดพลาดที่ผ่านมา คสช.และรัฐบาลต้องยอมรับคือ การบังคับใช้กฏอัยการศึกอย่างไม่จำแนกแยกแยะ ระหว่างกลุ่มเสียประโยชน์ที่พยายามก่อเหตุรุนแรงกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาปากท้อง และกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องปฏิรูปก็ถูกห้ามไปหมด ทำให้แรงต้านต่อกฎอัยการศึกมีมากขึ้น

"หากจะมาใช้มาตรา 44 แทนก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและทำรายละเอียดให้ชัดว่าสาระสำคัญของกฎหมายที่จะออกมารองรับจะมีระดับความรุนแรงขนาดไหน มีลักษณะพิเศษ และจะบังคับใช้อย่างไรที่ไม่เหมารวม แต่ต้องทำใจว่ากลุ่มต่อต้าน คสช.และรัฐบาลยังไงเสียก็จะรับไม่ได้ และคงต่อต้านเหมือนเดิม" นายสุริยะใส กล่าว