'เพ็ทซาฟารี' จุดนัดพบ'ดี๊ดี' ของคนรักสัตว์เลี้ยง

'เพ็ทซาฟารี' จุดนัดพบ'ดี๊ดี' ของคนรักสัตว์เลี้ยง

“The Pet Safari Bangkok”คือ อาณาจักรสินค้าและบริการเพื่อสัตว์เลี้ยงครบวงจร ที่พร้อมเสิร์ฟเหล่าPet Lover บริการใหม่ในตลาดสัตว์เลี้ยงหมื่นล้าน

ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่า 10-15% มีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท!

นี่คือบรรยากาศหวานๆ ที่ดึงดูดเหล่าผู้ประกอบการ ให้มาชิมลางในตลาดสัตว์เลี้ยงแสนรัก

เช่นเดียวกับ สองพี่น้อง “วัชระ” และ “วิโรจน์” ลิมตราจิตต์ ที่เริ่มจากคนรักสัตว์เลี้ยง ผู้อยากสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับตลาดสัตว์เลี้ยงเมืองไทย เลยทุ่มเงินไปนับ 30 ล้านบาท เพื่อซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์เพ็ทช็อปสัญชาติสิงคโปร์ “Pet Lovers Centre” เข้ามาเปิดตลาดในไทยเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

โดยเริ่มสาขาแรกที่ทำเลทอง “ทองหล่อ”

ตลาดสัตว์เลี้ยงอาจหอมหวาน แต่การทำธุรกิจไม่ได้ง่าย วันที่เริ่มต้นพวกเขาก็..เหนื่อยมาเยอะ

แม้ “Pet Lovers Centre” จะประสบความสำเร็จอย่างมากในสิงคโปร์และมาเลเซีย ชนิดที่เขาบอกว่า ขยายสาขากันไม่ต่ำกว่าเดือนละสาขา

แต่ 4 เดือนแรกของการเปิดร้านในไทย กลับ “ไม่มีลูกค้า”

อาจเพราะยังใหม่ คนไม่รู้จัก ร้านดูดีไปคนเลยไม่กล้าเข้า หรือจะเหตุผลกลใด แต่สิ่งที่เถ้าแก่มือใหม่คิดกับสถานการณ์ ณ ตอนนั้นก็แค่

“มองว่า ธรรมดามาก ก็เหมือนเราไปหาหมอนั่นแหล่ะ วันหนึ่งที่คนไว้ใจหมอ แม้หมอจะอยู่ไกลแค่ไหน เขาก็จะไปหา ร้านเพ็ทช็อป ก็เช่นกัน ถ้าเรามีช่างที่เก่ง มีของที่ดี มีบริการที่ดี วันหนึ่งลูกค้าก็จะมาหาเราเอง”

พวกเขาบอกทัศนคติ “แง่บวก” ที่ใช้เริ่มต้นธุรกิจ และตั้งรับกับสถานการณ์ไม่คาดคิด

ความตั้งใจจริงไม่จำเป็นต้องรีบล้มเลิก เมื่อหันกลับมามอง “ต้นทุน” สำคัญของสองพี่น้อง กับแบคกราวน์ที่เรียกว่าเติมกันได้ลงตัวพอดี โดยพี่ชาย “วัชระ” ทำงานในสายวิศวกร มีประสบการณ์ในต่างประเทศมากว่าสิบปี มารับหน้าที่ “ผู้จัดการฝ่ายระบบปฏิบัติการ” คอยดูแลเรื่องระบบหลังบ้าน และพัฒนาเรื่องการออกแบบ

ขณะน้องชาย “วิโรจน์” มาทางด้านการตลาด รับตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” คุมกลยุทธ์นำพา Pet Lovers Centre ให้เป็นที่รู้จักของตลาดเมืองไทยให้มากขึ้น

ที่มาของการทำธุรกิจที่มีระบบ และตอบโจทย์การตลาดได้ ด้วยการรับฟังเสียงผู้บริโภค นั่นเองกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจพลิกกลับมาพิชิต “จุดคุ้มทุน” (Break Even Point) ในสาขาแรก ได้ภายในเวลาแค่ 6 เดือน! พร้อมขยายสู่สาขาที่สอง เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และเข้าสู่สภาวะคุ้มทุนได้ตั้งแต่เดือนแรกๆ ด้วยซ้ำ

“แทบจะเดือนแรก ก็ Break Even แล้ว เพราะลูกค้าเห็นว่า นี่เป็นรูปแบบใหม่ ขณะที่ราคาสินค้าก็ไมได้สูงมากนัก บางอย่างเรียกว่า ถูกกว่าที่อื่นด้วยซ้ำ เขาเลยมาใช้บริการกันมากขึ้น”

ความสำเร็จในเวลารวดเร็วของทั้งสองสาขา ทำให้คนทำกล้าคิดใหญ่ขึ้น ที่มาของการลงทุน “จัดเต็ม” เปิดตัว “The Pet Safari Bangkok” ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย กับเพ็ทช็อปขนาดใหญ่ที่รวบรวมสินค้ากว่า 6 พันรายการ และบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงครบวงจร บริเวณชั้น G

ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ คอนเซ็ปต์ใหม่ที่เข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหล่าเพ็ทเลิฟเวอร์คนเมือง ที่ใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่ต้องไปหลายๆ ที่ แต่มาที่นี่ที่เดียว “ครบ” จบทุกความต้องการ

ว่ากันตั้งแต่ จำหน่ายสัตว์เลี้ยง อาหาร ของเล่น ข้าวของเครื่องใช้ บริการคลินิก อาบน้ำแต่งขน เบเกอรี่สำหรับสัตว์เลี้ยง ไล่ไปจนบริการแท็กซี่นำส่งสัตว์เลี้ยงแสนรัก

ทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องลงทุนเองทุกอย่าง แต่สามารถใช้โมเดล ดึงคนเก่ง คนเชี่ยวชาญ มาเป็นพันธมิตร ร่วมนำเสนอบริการที่ครบวงจรขึ้นมาได้ เช่น โรงพยาบาลสัตว์รัตนาธิเบศร์, เบเกอรี่สุนัขแบรนด์ “Dogkery” หรือ บริการรถแท็กซี่สำหรับสัตว์เลี้ยง “Petxi Limo” เหล่านี้เป็นต้น โดยแบรนด์ต่างๆ จะมาเช่าพื้นที่ให้บริการภายในเพ็ทซาฟารี 

รายได้หลักของเพ็ทซาฟารีมาจากการขายปลีกไม่ต่ำกว่า 60-70% ที่เหลือคือบริการต่างๆ โดยกลยุทธ์ที่นำมาใช้ดึงดูดเพ็ทเลิฟเวอร์ คือการสร้างบรรยากาศที่นี่ให้น่าเดิน น่าช้อป ด้วยพื้นที่กว้าง ไม่มีกลิ่น สินค้าหลากหลาย พนักงานเข้าใจสัตว์เลี้ยง สามารถให้ข้อมูลได้ บวกกิจกรรมเวิร์คช้อปที่นำมาจัดเอาใจคนรักสัตว์อย่างต่อเนื่อง

ด้วยแนวคิดที่ว่า ถ้าคนได้ใช้เวลานานขึ้น ก็มีโอกาสใช้จ่ายมากขึ้น

ซึ่งก็ดูจะไม่ผิดนัก เมื่อเขาฉายภาพปรากฎการณ์หลังเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายต่อคนต่อบิล ที่ประมาณหนึ่งพันบาท

ผู้บริหาร บอกเราว่า ตั้งเป้ารายได้ “เพ็ทซาฟารี” ในปีแรกไว้ที่ 30-40 ล้านบาท ซึ่งนั่นหมายถึง ครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของทั้งบริษัท ที่ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวมอยู่ประมาณ 80 ล้านบาท

ยังมีโอกาสมากมายในตลาดคนรักสัตว์เลี้ยง ที่เติบโตไปพร้อมกับไลฟ์สไตล์ของเหล่าเพ็ทเลิฟเวอร์ เช่น การเติบโตของช่องทางออนไลน์ และโฮมเดลิเวอรี่ ที่พวกเขาบอกว่า ทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้รวมทั้งบริษัท

ลงเล่นในสนามสัตว์เลี้ยงแสนรักได้ไม่นาน แต่ทั้งสองคนก็บอกอย่างมั่นใจว่า ตลาดนี้ “หอมหวาน” และ “มีอนาคต” เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนเลี้ยงสัตว์วันนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก เรียกว่า ไม่ได้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง แต่เลี้ยงเป็นสมาชิกของครอบครัว เลี้ยงเป็นเพื่อน ที่สำคัญคือ ยอมจ่ายและยอมทุ่มกับเพื่อนคนนี้เอามากๆ

ขณะภาพรวมตลาดสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ก็โตต่อเนื่องทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่า 10-15% ซึ่งนั่นยังเป็นโอกาสของผู้เล่นในสนามอย่างพวกเขา

“ทุกวันนี้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น เข้าดูจากอินเตอร์เน็ต บินไปต่างประเทศ เห็นเทคโนโลยี หรือของหลายๆ อย่าง ก็อยากเอามาใช้กับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเราก็หามาตอบสนองให้เขา ถามว่า ตลาดไทยกว้างใหญ่ไหม ขอบอกว่า ใหญ่มาก” เขาบอก

แม้จะยังมีโอกาส แต่พอถามถึงแผนขยายสาขาในไทย ทั้งสองกลับบอกว่า ขอโตแบบค่อยไปค่อยไป โดยต้องการทำให้สาขาที่เปิดในปัจจุบันทั้ง 3 สาขา นิ่งทั้งคนและระบบ เสียก่อน เพราะถือเป็นหัวใจของการขยายสาขาได้อย่างมีมาตรฐาน ซึ่งหากพร้อมก็ค่อยขยาย เพราะโอกาสยังมีมากมาย ไม่ใช่แค่กรุงเทพ แต่คือ ทุกพื้นที่ที่มีสัตว์เลี้ยง

“การเติบโตของธุรกิจรีเทล ใน 5 ปีแรก จะค่อยๆ โต แต่หลังจากนั้นไป จะโตแบบ ‘ทวีคูณ’ ดูอย่างสิงคโปร์ที่ตอนนี้เปิดได้เดือนละสาขา ซึ่งวันนี้เราคงต้องทำทุกอย่างให้นิ่งก่อน เพื่อให้ลูกค้าที่มาเดินช้อปปิ้งที่เรา มั่นใจได้ว่า จะได้มาตรฐานไม่ต่างจากที่สิงคโปร์” เขาบอก

ถามถึงหัวใจของการทำธุรกิจสัตว์เลี้ยงแสนรักให้ประสบความสำเร็จ พวกเขาบอกว่า ระบบต้องดี การบริหารจัดการต้องเยี่ยม ขณะที่บริการต้องเป็นเลิศ นอกจากนี้ยังรวมถึงหัวใจพื้นๆ แต่ดูจะสำคัญเอามากๆ อย่าง คนทำต้อง “รักสัตว์”

เพราะถ้าไม่รักซะแล้ว ก็คงทำงานนี้ไม่สนุก แล้วใครจะอดทนทำธุรกิจที่ตัวเองไม่สนุกได้นานกันเล่า

ฉะนั้นขอให้เริ่มจากความรัก แล้วจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเพ็ทเลิฟเวอร์

.................................
Key to success
โอกาสธุรกิจสัตว์เลี้ยงแสนรัก


๐ เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 10-15%
๐ คนรักสัตว์เหมือนครอบครัว ยอมใช้จ่ายสูงขึ้น
๐ สินค้าดี บริการดี ตอบสนองไลฟ์สไตล์ คนพร้อมจ่าย
๐ สามารถขยายได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
๐ มีระบบที่ดี คนพร้อม สามารถทำเป็นแฟรนไชส์ได้