เอฟิซุสหลังม่านฝน

เอฟิซุสหลังม่านฝน

สารภาพตามตรงว่าความคิดการไปเที่ยวประเทศแถบตะวันออกกลางแทบไม่เคยอยู่ในหัว

อาจเพราะเรื่องราวที่เคยได้ยินผ่านสื่อตั้งแต่เด็กจนโต รวมถึงค่านิยมคนไทย ที่หากเดินทางไกลทั้งทีก็มักจะไปเที่ยวประเทศตะวันตกกันเสียเป็นส่วนมาก ในชีวิตผมไม่เคยมีเพื่อน พี่น้อง คนรอบตัวเดินทางไปยังบริเวณนั้นมาก่อน ความประทับใจในดินแดนตะวันออกกลางจึงเป็นสิ่งที่หูของผมไม่เคยได้ยินใครบอกเล่าให้ฟัง


ขณะที่เพื่อนหลายคนเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลากไปเที่ยวยุโรปกันเก๋ๆ เงินในบัญชีคืออุปสรรคใหญ่ที่สกัดดาวรุ่งนักเดินทางอย่างผม ไม่ให้สามารถร่วมทริปไปกับเขาได้ เลยตัดสินใจแพ็คของใส่เป้ใบโต จองที่นั่งสายการบินราคาประหยัด แล้วขอไปลองความแปลกใหม่บ้างดีกว่า โดยปลายทางอยู่ที่อิสฟาฮาน เมืองครึ่งโลกในประเทศอิหร่าน แต่จุดหมายแรกคือตุรกี ดินแดนสองทวีป!


ตุรกีในความทรงจำของตัวเองนั้น จำได้เพียงว่าเป็นประเทศที่อากาศดีมากประเทศหนึ่ง ซึ่งเคยได้สัมผัสตอนแวะเปลี่ยนเครื่องเมื่อหลายปีก่อนที่เมืองอิสตันบุล และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกปล่อยให้มหานครอันดับหนึ่งของตุรกีเป็นเพียงทางผ่าน เพื่อต่อเครื่องภายในประเทศมุ่งหน้าไปยังอิซเมียร์ จังหวัดใหญ่อันดับสาม ที่ตั้งอยู่ปลายสุดด้านทิศตะวันตกบนแผ่นดินเอเชียไมเนอร์ ก่อนจะวนกลับมาเยือนอีกครั้งเป็นเมืองสุดท้าย แล้วจึงจะเดินทางไปจอร์เจียต่อเป็นประเทศถัดไป


การกลับมาเยือนครั้งนี้ ตุรกีไม่ได้ต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มของแสงแดดอย่างคราวก่อน หากเป็นสายฝนที่โปรยปรายตลอดวัน ฤดูหนาวของที่นี่มักมาถึงพร้อมกับความชุ่มฉ่ำจากก้อนเมฆเสมอ แม้จะเปียกแฉะอยู่บ้าง แต่ข้อดีของการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่นแบบนี้ คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงเมื่อเทียบกับฤดูอื่น ซึ่งผลพลอยได้คือค่าที่พักที่ถูกลง ต่อรองได้นิดหน่อย แถมยังไม่ต้องจองล่วงหน้า โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีที่ให้นอนหรือเปล่าอีกต่างหาก


เมื่อพักค้างคืนให้หายเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบิน จัดการแลกเงิน กินมื้อกลางวัน และซื้อซิมโทรศัพท์สำหรับใช้ยามฉุกเฉินเป็นที่เรียบร้อย ก็ไปขึ้นรถไฟเดินทางต่อไปยังเมืองเซลจุก เพื่อหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ที่เป็นจุดดึงดูดใครหลายๆ คน นั่นคือ “เอฟิซุส” เมืองอารยธรรมกรีกโบราณ ที่ห่างไม่ไกลจากตัวเมืองเซลจุก


สิ่งหนึ่งที่เคยได้ยินก่อนออกเดินทาง คือเรื่องความเป็นมิตรของชาวตุรกี ซึ่งทำท่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะทั้งระหว่างการรอรถไฟและขณะที่อยู่บนขบวนรถ มีชาวเมืองชวนคุยด้วยไม่ขาดสาย ทั้งคนนั่งข้างๆ คนนั่งตรงข้าม คนนั่งเบาะถัดไป หรือกระทั่งคนตรวจตั๋ว ช่วยเสริมความมั่นใจว่ายังไงเสีย วันนี้ก็ไม่หลงทางแน่นอน เช่นเดียวกับตอนแลกเงิน ซื้อซิมโทรศัพท์ หรือซื้อของกิน บรรดาพนักงาน พ่อค้าแม่ขายก็มักมีท่าทีกระตือรือร้น และลุ้นไปกับเราด้วยเสมอว่าถูกปากในรสชาติอาหารของพวกเขาหรือไม่ (อาหารบางอย่างอร่อยมาก แต่ยอมรับโดยดีว่าบางอย่างก็ทำเอาผมสับสนในรสชาติ)
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการสื่อสารผ่านภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ล้วนๆ แต่อย่างน้อยจากสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ที่ส่งผ่านบทสนทนา อาจฟังดูเข้าข้างตัวเอง แต่เราทั้งสองฝ่ายต่างแน่ใจว่าต้องตีความหมายของกันและกันถูกอย่างแน่นอน


ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเอฟิซุส หรือที่ชาวเมืองเรียกกันว่า “เอเฟส” หมุดหมายหลักของบรรดานักท่องเที่ยว เมืองที่เคยมีอดีตอันรุ่งโรจน์แห่งจักรวรรดิโรมัน ที่สามารถเทียบเคียงได้กับเมืองโรม ในอิตาลี เมืองที่เคยมีประชากรอยู่อาศัยหลายหมื่นคน เมืองที่พวกเขาเชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของมหากวีโฮเมอร์


เรื่องในอดีตจะจริงหรือเท็จแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอน เพราะปรากฏให้เห็นเด่นชัดอยู่ตรงหน้า คือความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ หากไม่นับรวมช่วงที่ต้องหลบฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และลมที่พัดแรงเสียจนต้องแอบเข้าไปหลบตามซอกโบราณสถาน ผมก็น่าจะใช้เวลาเดินอยู่ในนั้นเป็นเวลาราว 3 ชั่วโมงกว่า แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอต่อการเดินสำรวจบริเวณต่างๆ ให้ทั่ว


ร่องรอยสำคัญที่หลงเหลือ คือโรงละครกลางแจ้งขนาดน้องๆ โรงละครเมืองโรม อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลมที่สร้างจากหินหลายก้อนเรียงซ้อนกัน แม้จะกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ทั้งจากน้ำมือมนุษย์และภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เมื่อได้ยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ยังคงหลงเหลือ แล้วหลับตานึกถึงภาพกิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ก็ชวนให้ขนลุก


ประจวบเหมาะเหลือเกินที่ได้เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่ง ยืนล้อมวงประสานเสียงร้องเพลงที่มีท่วงทำนองเช่นเดียวกับเพลงที่ขับกล่อมในโบสถ์ของชาวคริสต์ ช่วยเสริมบรรยากาศให้เสมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยโบราณมากขึ้นไปอีก ผมชอบอารมณ์ของการประกอบกิจกรรมในโบราณสถาน มันให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับการเดินเวียนเทียนในวัดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาบ้านเราในวันสำคัญทางศาสนา


อีกหนึ่งไฮไลท์ที่หนังสือและเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างพากันแนะนำคือห้องสมุดแห่งเซลซุส ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่จูเลียส เซลซุส หนึ่งในวุฒิสมาชิกคนสำคัญของอาณาจักรโรมัน ที่แม้ในปัจจุบันจะไม่มีหนังสือให้หยิบอ่าน แต่ลำพังแค่ความสวยงามของรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่ประดับด้วยรูปปั้นศิลปะโรมันในซุ้มประตู และลวดลายที่แกะสลักบนเสาหินอ่อนก็กินขาดแล้ว


ไม่แปลกใจเลยที่ประตูทางเข้าสูงตระหง่านกว่า 17 เมตรของห้องสมุดนี้ จะเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของบรรดาผู้มาเยือน ที่ถึงจะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่ก็ยังเดินทางกันมาอย่างไม่ขาดสาย ชวนให้คิดว่าในช่วงอากาศแจ่มใส จำนวนประชากรนักท่องเที่ยวจะมากกว่านี้ขนาดไหน


นอกจากชาวตุรกีเจ้าของประเทศเองแล้ว ก็มีทั้งชาวจีน ชาวเกาหลี และญี่ปุ่น ที่เดินกันขวักไคว่ในเมืองโบราณแห่งนี้ สามชาตินี้ถึงหน้าตาจะคล้ายกัน แต่แยกแยะได้ค่อนข้างง่าย ถ้ามากันเป็นกรุ๊ปทัวร์คือชาวจีน ถือไม้เซลฟี่คือเกาหลี แต่ถ้ามาคนเดียวคือญี่ปุ่น ส่วนคนไทยนั้นผมไม่ได้พบเจอเลยจนจบทริป


สังเกตเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวส่วนมากเน้นหนักไปทางคนญี่ปุ่น หลังจากนี้ตลอดการเดินทางในตุรกี ผมก็ได้พบและพูดคุยกับเพื่อนนักเดินทางชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน และได้รู้ถึงเหตุผลว่าทำไมตุรกีถึงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวอาทิตย์อุทัย ซึ่งจะขอกล่าวถึงในตอนต่อๆ ไป


ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อย ก็ได้เวลาบอกลานครโบราณเอฟิซุส สถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารยธรรม และความทรงจำ เอเฟสสั่งลาผมด้วยฝนชุดใหญ่ที่สุดในรอบวัน ที่เล่นเอาเปียกปอนไปทั้งตัว เหมือนจะเป็นนัยว่าให้กลับมาอีกครั้งในวันที่ฟ้าเปิด ผมถอดผ้าพันคอ และเสื้อแจ็คเก็ต พันรอบกล้องให้รอดพ้นจากเม็ดฝน หันหลังกลับไปถ่ายภาพสุดท้าย แล้ววิ่งกระเซิงออกมา เพื่อรอรถมินิบัสกลับไปยังท่ารถประจำเมือง


เป้าหมายต่อไปคือ “ปามุคคาเล” หรือปราสาทปุยฝ้าย เมืองที่มีเนินเขาหินปูนมหัศจรรย์สีขาว ที่เกิดจากการรังสรรค์ของธรรมชาติ ด้วยการทำปฏิกิริยาตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำพุร้อน จนจับตัวกันเป็นแอ่งชั้นคล้ายขั้นบันไดตามเนินเขา


วิธีการจะไปให้ถึงปามุคคาเลจากเซลจุกนั้นมีอยู่สองทาง คือนั่งรถไฟ และนั่งรสบัส แต่ผมเลือกที่จะนั่งรถบัสเพราะอยากสัมผัสกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ารสบัสตุรกีนั้นอยู่ในระดับดีเยี่ยม ทั้งความสะดวกสบาย และการบริการ ซึ่งเป็นจริงทุกประการ อีกจุดที่น่าสนใจคือไม่มีห้องน้ำบนรถ แต่มีไวไฟอินเทอร์เน็ตให้เล่นฟรีตลอดทาง!


เมื่อได้ที่นั่งบนรถเรียบร้อย ก็หยิบกล้องขึ้นมาดูรูปที่ถ่ายได้ในวันนี้ โดยรวมไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ เพราะฟ้าที่ขมุกขมัวตลอดวัน และยังต้องคอยเก็บกล้องหลบฝน เลยไม่ได้ภาพมากเท่าที่ควร แต่แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะพลังอำนาจของธรรมชาตินั้น ยิ่งใหญ่กว่าพลังอำนาจของดิจิตอลนัก คิดได้ดังนั้นก็เจียมตัว แล้วภาวนาให้พรุ่งนี้ฟ้าเป็นใจให้เราได้เก็บภาพสวยๆ ที่ปามุคคาเล


มองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุด แม้จะเร็วไปสำหรับเวลาเข้านอน แต่ไออุ่นจากเครื่องทำความร้อน กับเพลงป๊อบตุรกีร่วมสมัยที่ดังจากลำโพงรถบัส ช่วยกันขับกล่อมให้หัวสมองเคลิบเคลิ้ม อีกสามชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เลยของีบสักพัก และพลางจินตนาการฝันถึงความงดงามขาวโพลนของปราสาทปุยฝ้าย เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนจะได้เห็นของจริง