นายกฯลั่นจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตรต้องเริ่มได้แล้ว

นายกฯลั่นจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตรต้องเริ่มได้แล้ว

นายกฯลั่นการจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตรจะต้องเริ่มได้แล้ว เผยเล็งใช้คูคลองมาทำเส้นทางการสัญจรทางน้ำ ให้เร่งขยายตลาดชุมชนให้เพิ่มากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้กับคนในชาติ ถึงการดำเนินการจัดโซนนิ่งพื้นการทำการเกษตรกรรม ว่า เรื่องการทำโซนนิ่งพื้นที่เกษตรกรรมพูดกันมาเยอะแล้วหลายรัฐบาลแล้วยังไม่เคยทำได้ วันนี้เราต้องริเริ่มให้ๆได้ แล้วก็ดำเนินการให้ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม บางส่วนในพื้นที่ด้านการเกษตรแต่ละจังหวัด จะต้องมีการเกื้อกูลระหว่างกันเพราะว่า ตรงไหนมีน้ำก็ปลูกข้าวได้ ปลูกพืชใช้น้ำมากได้นะครับ หลายๆครั้ง ตรงไหนไม่มีน้ำ เราอาจจะส่งเสริมเป็นแหล่งผลิตพืชที่ใช้น้ำน้อย หรือทำปุ๋ยอินทรีย์ก็ต้องส่งเสริมไป แล้วไปชี้แจงทำความเข้าใจกับเขาให้ชัดเจนขึ้นว่า ทำต่อไปก็เสียหาย ทำต่อไปก็ไม่ได้กำไร ขาดทุนตลอด ถ้ามันเกื้อกูลกันได้ ตรงนี้น้ำมาก ตรงนี้น้ำน้อย น้ำน้อยก็ทำปุ๋ย ตรงไหนน้ำมากก็ให้เขาทำไป เราก็ได้ราคาค่าปุ๋ยมา ดีกว่าที่จะไปทำข้าว แล้วก็ตาย ขาดทุน หรือปลูกพืชที่มันขาดทุนนะครับ ก็ให้กระทรวงเกษตร มหาดไทย ช่วยไปดูแลให้มันชัดเจนขึ้นนะ ผ่านสหกรณ์ชุมชนต่างๆ กลุ่มเกษตรกรทุกคนต้องช่วยกันทำความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทัศนคติใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันเราก็ไม่อยากบังคับท่าน แต่ขอให้ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เกษตร ชลประทาน มหาดไทยสิ่งที่ตนอยากให้มีข้อมูลเพิ่มขึ้นก็คือข้อมูลให้ประชาชนทราบ

วันนี้ราชการทราบอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ประชาชนต้องทราบด้วยว่าเอ๊ะ ที่บ้านเราอยู่นี่ มีน้ำเพียงพอไหม ชลประทานจะมีโอกาสมาถึงได้หรือเปล่า ไฟฟ้าจะมาได้อย่างไร แล้วก็ในเรื่องของน้ำใต้ดินมันมีหรือเปล่า สภาพดินเป็นอย่างไร ปลูกพืชมันเหมาะสมกับอะไร ต้องฟังอันนี้ตนให้ทำเป็น APP เข้าไปในโทรศัพท์ด้วย ตนว่ามาดูเรื่องเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ ทุกกระทรวงจะใส่เข้าไปด้วยทั้งหมด เป็นความรู้เพื่อประชาชน อันนี้ก็สั่งการไปแล้ว ขอให้ติดตามเรื่องนี้ด้วย ก็ขอให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้เร่งขับเคลื่อนสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ไม่ใช่เป็นการประชาสัมพันธ์อย่างเดียว ตนอยากให้เป็นการ ให้ความรู้ประชาชน เพื่อจะประกอบอาชีพได้ถูกต้องจะทำยังไง ควรจะเป็นอย่างไร มันจะได้อธิบายกัน ไม่ต้องซ้ำๆๆๆ แบบที่ตนต้องพูดทุกอาทิตย์

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่าเรื่องการสัญจรทางน้ำวันนี้เรามีแม่น้ำ ลำคลอง มากมาย รัฐบาลก็จะส่งเสริมการสัญจรทางน้ำให้มากขึ้น ถนนบางครั้งเราก็สร้างไม่ไหว 1 ทุนแพงขึ้น 2 มันไปขวางเส้นทางน้ำ แล้วก็มีการ ต้องทำ EIA อะไรต่างๆ มันก็ไม่ผ่านอีก ประชาชนก็ไม่เห็นชอบ เหล่านี้ ก็น่าจะต้องไปพัฒนาการสัญจรทางน้ำให้มากขึ้น โดยเฉพาะคลองแม่น้ำ ที่มันผ่านในเมืองสำคัญ ๆ นั้นก็น่าจะพัฒนาให้มีทางสัญจรเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยลดปัญหาการจราจร การลงทุนในเรื่องของถนน สะพานต่างๆเช่น ถ้าในเมืองก็เป็นเรือพาย เรือจ้าง ไม่มีเครื่องยนต์ สำหรับรับส่งคน และก็ท่องเที่ยวด้วย ส่งเสริมการท่องเที่ยว อาจจะเป็นที่ตนเคยเรียกไว้ว่า Gondola เมืองไทยยังไงล่ะ ก็เอาเรือจ้างมาทำสวยๆ นะครับในพื้นที่ตอนในนครับเสียงไม่หนวกหู ไม่สร้างมลพิษ แต่รอบๆ นอกก็ใช้เครื่องได้ ก็อยากให้เพิ่มในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยทางน้ำ อุปกรณ์ช่วยชีวิต ชูชีพอะไรต่างๆ ท่าน้ำต่างๆ ต้องปลอดภัย เรือด่วน เรือเมล์ อะไรต่างๆ ในส่วนของคูคลองต่างๆ ที่มันสามารถทำได้ก็เปิดเป็นตลาดน้ำเพิ่มเติม มีการค้าขาย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ให้ได้อย่างที่รัฐบาลพยายามทำให้เป็นตัวอย่างอยู่นี่นะ อยากให้ทำให้สำเร็จภายใน 6 เดือน ทั้งกทม.และต่างจังหวัด นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป ก็ขอให้รายงานให้ทราบผลการปฏิบัติของท่านด้วยว่าทำได้หรือไม่

นายกฯยังกล่าวต่อว่า ในจังหวัดใดที่มีคูคลอง มีแม่น้ำก็น่าจะเปิดการสัญจรทางน้ำ ได้มากขึ้น นอกจากการท่องเที่ยวอย่างเดียว มีเรือเร็ว เรือด่วน ให้ปลอดภัย มีภาคเอกชนไหนที่สนใจ ก็สามารถติดต่อเข้ามานะครับที่กระทรวงคมนาคม – กรมเจ้าท่าหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที ขอให้เร็วด้วย เหมือนที่มีในแม่น้ำเจ้าพระยานี่นะ ไปทำที่อื่นด้วยก็ดี น่าจะดีนะมันจะได้ลดเรื่องการเดินทางด้วยรถยนต์ลงไปบ้าง ส่วนเรื่องการสร้างตลาดชุมชน ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำ โครงการ “ตลาดนัดชุมชน ไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้” เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายแก่เกษตรกรโดยตรงนะครับ และส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ในเรื่องราคา เรื่องระบบการตลาด ลดทอนอำนาจพ่อค้าคนกลาง และให้พี่น้องประชาชนในชุมชนได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดีในชุมชนตนเองบางทียังไม่ทราบว่าบ้านเรามีอะไร ปลูกอยู่แล้วบ้าง หรือขายอะไรที่มันดีๆ ส่วนใหญ่ไปขายข้างนอกหมดนะ เพราะงั้นถ้าพื้นที่เดียวกัน ได้รับประทาน ได้ใช้อุปโภค บริโภค ก็แลกเปลี่ยน แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คือว่า ถ้าลดค่าใช้จ่ายก็คือปลูกไว้ทานเอง ถ้ามีเหลือก็แลกเปลี่ยนกัน แล้วถ้าเหลือมากกว่านั้นก็ขาย ถ้าขายแล้วยังเหลืออีก ก็ลงทุนสร้างโรงงาน สร้างการผลิตต่างๆ ให้เกิดขึ้น นั้นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว

“วันนี้ที่รัฐบาลนี้ส่งเสริมไป มีตลาดชุมชนเกิดขึ้นแล้ว 2,063 แห่งนะครับ ทั่วประเทศ ก็คงต้องมีอีกนะครับ ที่ผ่านมานั้นได้รับการายงานว่ามีผู้จำหน่ายถึงเกือบ 9 หมื่นราย และมียอดจำหน่ายทั่วประเทศถึงในปัจจุบัน ตั้งมายังไม่กี่เดือนนี่นะครับกว่า 820 ล้านบาท วันนี้รัฐบาลก็ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งยกระดับมาตรฐานของตลาดนัดชุมชนนะครับ ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ คัดสรรสินค้าดีมีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของท้องตลาด แล้วก็ในพื้นที่ด้วย ในราคายุติธรรมจากชุมชน จากเกษตรกรมาจำหน่าย รแล้วก็ส่งเสริมการจัดกิจกรรมต่างๆ ประกอบไปด้วย เพื่อเรียกร้องความสนใจ เช่น การแสดงดนตรีศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน กิจกรรมสาธิต นิทรรศการ สวนสนุก และให้ความรู้เรื่องสุขลักษณะของตลาดนัดแก่ผู้จำหน่ายด้วยก็ต้องช่วยกันเองนะ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองกันบ้าง ไทยต้องช่วยไทยด้วย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แต่ท่านต้องช่วยตัวเองก่อนนะครับ ซึ่งต่อไปก็จะขยายต่อไปทั่วทุกภูมิภาค ก็ฝากท่านผู้ว่าฯ ท่านหัวหน้าส่วนราชการ เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด สมาคม หอการค้า อุตสาหกรรมจังหวัดด้วยนะครับ ช่วยกันดูหน่อยซินะ ปล่อยให้รัฐทำอย่างเดียว กระทรวงทำอย่างเดียว มันก็ไม่ไหวนะ ภาคเอกชนต้องช่วยกันด้วย ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนสนับสนุนให้มีการขึ้นบัญชีทุกแห่งไว้ ในแต่ละจังหวัดนั้นมีอยู่แล้วกี่แห่ง เพราะผมถือว่าเป็นงานนโยบาย ต้องขึ้นบัญชีให้ได้ ว่ามีกี่แห่งแล้วตลาดเรา มีตลาดอะไรบ้าง อันไหนได้ผล อันไหนไม่ได้ผล อันไหนไม่มีคนสนใจ มันต้องประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางนะครับ แล้วนำเข้าในโทรศัพท์ คนจะได้รู้ว่ามีอะไรดีๆ อยู่ที่ไหน ห้วงไหน เวลาไหน ผลไม้ที่ไหน ข้าวที่ไหน นะ ให้เพิ่มเติมไปทุกประเภทเลย ทั้งข้าว ผัก ผลไม้ เกษตรอินทรีย์ต่างๆ เราต้องเตรียมการตลาดชุมชนเราจะไปไหนต่อ นอกจากในประเทศแล้ว ก็จะไปเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันต่อไป หรือส่งออกไปต่างประเทศ ในอาเซี่ยน ถ้าเราทำได้แบบนี้ ก็จะต่อเนื่องเชื่อมโยง ราคาผลผลิตด้านการเกษตรก็น่าจะดีขึ้นนะ ก่อนอื่นเราต้องช่วยกัน ช่วยกันทานก่อนนะ ช่วยกันกินของดีๆ ก่อน ให้ได้ ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะใช้ผลิตผลการเกษตรที่มันเป็นอินทรีย์ น่ะนะครับ ที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีนะ เพราะฉะนั้น พื้นที่ใดก็ตามที่มันปลูกข้าว ปลูกอะไรไม่ได้เยอะๆ ก็มาทำปุ๋ย ทำอะไรไปขายเขาไม่ดีกว่าเหรอนะ ไปเก็บผักตบชวาที่มันรกรุงรังตามคลองมาก็มารวบรวมกองๆ ไปแล้วใช้การย่อยสลาย