ไพรินทร์ชี้น้ำมันขึ้นราคาระยะสั้นแนะประหยัด

ไพรินทร์ชี้น้ำมันขึ้นราคาระยะสั้นแนะประหยัด

"ไพรินทร์" คาดราคาน้ำมันปรับขึ้นแค่ชั่วคราว ขณะนี้ยังไม่เกิน 60 ดอลลาร์/บาร์เรล เหตุปริมาณน้ำมันยังล้นตลาด

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)เปิดเผยถึงทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นตลอดเดือน ก.พ. 2558 ที่ผ่านมานั้น เชื่อว่าเป็นการปรับขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันราคาให้ต่ำอยู่ ได้แก่ ทิศทางน้ำมันโลกยังมีสภาวะล้นตลาด หรือ มีมากกว่าความต้องการซื้อสูง ซึ่งมีปริมาณสำรอง(สต็อก)สูงถึง 400 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือว่าสูงสุดรอบ 30 ปี แต่ความไม่สงบทางการเมืองต่างประเทศและหากการสู้รบกับกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส)ขยายตัวขึ้น จะเป็นตัวแปรให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ราคาน้ำมันก็ยังไม่ถึง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยังไม่เห็นสัญญาณที่ราคาน้ำมันจะเกินจากอัตราดังกล่าว

อย่างไรก็ตามการที่ราคาน้ำมันโลกยังทรงตัวอยู่ระดับต่ำ ส่งผลให้ประชาชนเกิดการใช้น้ำมันกันมากและไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นในช่วงที่ราคาน้ำมันถูกลงนี้ รัฐบาลควรต้องเร่งรณรงค์ไม่ให้เกิดการใช้อย่างฟุ่มเฟือย และเก็บพลังงานไว้ให้ลูกหลายในอนาคตต่อไป

นอกจากนี้ในส่วนของการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณก๊าซธรรมชาติในแหล่งเยตากุนของพม่าและแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(เจดีเอ)ที่มีแนวโน้มจะเหลือน้อยลงไปนั้น ในปี 2557 ปตท.ได้ขออนุมัติกรรมการบริหาร(บอร์ด)จัดทำคลังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)แบบเป็นเรือยลอยลำ สำหรับรองรับก๊าซฯแอลเอ็นจีที่จะนำเข้าจากต่างประเทศมาใช้แทนแล้ว
สำหรับเรือที่จะเป็นคลังลอยน้ำนั้นจะมีความจุ3 ล้านตัน โดยจอดอยู่ 2 จุด ได้แก่ ทางตอนใต้ของไทยและในพม่า ทั้งนี้เห็นว่าขณะนี้ราคาแอลเอ็นจีมีราคาถูกเพียง6-7ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จึงเหมาะสมที่จะดำเนินการในช่วงนี้

สำหรับกรณีที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) หรือซุปเปอร์บอร์ด เห็นชอบตั้งองค์กรอิสระในรูปแบบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ (ซุปเปอร์โฮลดิ้ง) ขึ้นมาดูแลรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การบริหารงานมีเอกภาพและไม่ให้การเมืองเข้าแทรกแซงว่า ปตท.เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวและรอรับนโยบายว่าจะให้เริ่มดำเนินการอย่างไร เนื่องจาก ปตท. เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมยและนโยบายรัฐบาล

ทั้งนี้เห็นว่าประเทศไทยควรมีซุปเปอร์โฮลดิ้งมานานแล้ว เนื่องจากต่างประเทศใช้การบริหารงานลักษณะดังกล่าวในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับรัฐวิสาหกิจในไทย และจะดีกับผู้ถือหุ้นในอนาคต หากรวมอยู่ภายใต้ซุปเปอร์โฮลดิ้ง การบริหารจัดการผ่านรูปแบบบรรษัท จะทำให้รัฐวิสาหกิจเกิดความก้าวหน้าขึ้นในอนาคต และมีความชัดเจนและโปร่งใส ส่วนจะปลอดภัยจากการแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่นั้น คงต้องติดตามดูวิธีการบริหารจัดการกันต่อไป