สันติ ภิรมย์ภักดี คิดอย่าง (หัว) สิงห์

สันติ ภิรมย์ภักดี คิดอย่าง (หัว) สิงห์

'สิงห์'เปิดตำราพิชัยยุทธ์ดันธุรกิจเบียร์เบอร์ 1 ของไทยให้ยิ่งใหญ่ การนำของ'สันติ ภิรมย์ภักดี' เสริมเขี้ยวเล็บนำธุรกิจก้าวไปสู่เวทีโลก

เกือบ 1 ทศวรรษกับการเร้นกายของแม่ทัพสิงห์ "สันติ ภิรมย์ภักดี" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มาปรากฏกายก็คราวนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากบริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด บริษัทในเครือบุญรอด นำคณะสื่อมวลชนไปทำความรู้จักกับบริษัทร่วมทุนใหม่เอี่ยมอ่องอย่าง "บริษัท ดีวีเอส 2014 จำกัด"  โดยส่งบริษัท วราฟู้ดส์ แอนด์ ดริ๊งค์ ผนึกกับบริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท พร้อมให้เงินก้อนโตอีก 200 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 

นั่นทำให้บิ๊กบอสเช่นเขา ต้องออกโรงไปพบปะพันธมิตรบนดอย ด้วยตัวเอง  

สันติ ปรากฎตัวด้วยมาดเข้ม สวมเสื้อโปโล ปะโลโก้ "ดีวีเอส 2014" สวมแว่นตากันแดด ก่อนทักทายลูกน้อง ตามด้วยพันธมิตรใหม่ หนึ่งในนั้นคือเจ้าของโลโก้กาแฟดอยช้าง "พิก่อ แซ่ดู่" ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มขึ้น จากใครคนหนึ่ง ที่ถามถึงไถ่ถึงสุขภาพในวัย 69 ปีของสันติ ซึ่งยังดูแข็งแรง รวมทั้งซักไซ้สาเหตุที่ไม่ค่อยออกงาน 

โดยเขาตอบว่าสาเหตุที่ไม่ค่อยออกงาน เพราะต้องการเปิดทางให้ลูกๆ โดยเฉพาะ "เต้ ภูริต และ ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี" ได้โชว์ฝีไม้ลายมือขับเคลื่อนอาณาจักรของตระกูล "ภิรมย์ภักดี" ในฐานะ "กรรมการผู้จัดการ" ได้เต็มที่ ไร้แม้กระทั่งนโยบายที่กำชับเป็นพิเศษ

"ผมไม่ได้ให้นโยบายอะไรกับเขา เพราะต้องการให้เขาคิดนอกกรอบเป็นตัวเอง..เหมือนผม" คำตอบสั้นน้ำเสียงเข้ม แต่ปนด้วยรอยยิ้ม 

ส่วนหนึ่งที่ปล่อยให้ลูกๆ ได้ทำงานในสไตล์ของตัวเอง เขาบอกว่า วันนี้ค่าย "สิงห์" วางรากฐานไว้แกร่ง ! ตั้งป้อมปราการไว้ปึ้ก ! 

"ให้ลูกๆ ทำ เพราะวันนี้ผมวางรากฐานไว้ดีแล้ว ทั้ง Background และ Foreground ส่วนลูกๆ ก็มีการศึกษาดี วันนี้เขาเก่งกว่า" เขาเล่าและย้ำว่า 

"ผมประสบความสำเร็จแล้ว ลูกๆ ต้องประสบความสำเร็จมากกว่าผม ลูกต้องดีกว่าพ่อ" 

เขายังบอกด้วยว่า การวางรากฐานธุรกิจให้แกร่ง เพื่อรับกับบริบทโลกธุรกิจในปัจจุบัน ที่ "เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่างจากยุคผม" แม้จะไม่อยากตอบคำถามสื่อ แต่เขาก็ยอมขยายความต่อว่า 

"โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงแน่นอน ขนาดผมยังเปลี่ยนเลย แก่ขึ้นแต่หล่อกว่าเดิมนะ"  เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟัง  

สถานการณ์ธุรกิจเปลี่ยน จึงไม่แปลกที่สิงห์จะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ยกกระบิ จากเดิมที่แบ่งธุรกิจเป็น 2 กลุ่ม คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และนอนแอลกอฮอล์ โดยยกกลุ่มธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ ไปอยู่ใต้ธุรกิจใหม่ (New business) เพราะการขยายธุรกิจของสิงห์ในวันนี้ไม่ได้จำกัดแค่เครื่องดื่ม แต่มีทั้งข้าว ขนมขบเคี้ยว (สแน็ก) ธุรกิจร่วมทุน และการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A)  

ถามว่า การรื้อผังองค์กรใหม่ สองทายาทได้มีส่วนร่วมคิดมากน้อยแค่ไหน

เขาบอกว่า  "ช่วยๆ กันกับลูกๆ ในการคิด เราต้องยอมรับในบทบาทของเขานะ เพราะเขาก็ต้องขึ้นมาในบทบาทของเขา" 

เขายังบอกว่า แผนการใหญ่รุกธุรกิจระดับโลกของสิงห์ จะเป็นต้องมี "เพื่อนร่วมคิดระดับโลก" อย่างเบน แอนด์ คัมปะนี (Bain and company) มาช่วยอีกแรง โดยหน้าที่ของเบนฯ จะมาอำนวยความสะดวก (Facilitate) ให้สิงห์ได้ในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น 

"ธุรกิจของเรา ย่อมไม่มีใครที่จะเข้าใจได้มากกว่าเรา !!” 

ไม่เพียงแค่ "แรงกดดัน" จากสถานการณ์โลก การดำเนินธุรกิจในประเทศยังเผชิญแรงกดดันไม่น้อย โดยเฉพาะในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ยังเผชิญขวากหนามนานัปการ โดยเฉพาะ "กฎหมาย" ที่เป็นอุปสรรคชิ้นโตขวางธุรกิจแอลกอฮอล์ การจะเติบโตได้ จึงต้องก้าวออกไปทำสิ่งในใหม่ๆ ที่ "ท้าทาย" กรอบเดิมๆ ของสิงห์ 

ยุทธการโต "ทางลัด" จึงเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สิงห์เคยปฏิเสธในอดีต ทว่าขณะนี้กลับทวีความสำคัญมากขึ้น สำทับกับความเชื่อของ "สันติ" ที่ว่า 

การออกสตาร์ทจากศูนย์ (O) "ลำบาก" และ "ช้า" เกินไป เขากล่าวต่อหน้าบรรดาชาวดอยที่เป็นพันธมิตรของดีวีเอส 2014 ว่า 

"วัตถุประสงค์ที่อยากมาร่วมงานในวันนี้ คือมองเห็นว่า การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มจากศูนย์เลยคงลำบาก" 

การเจริญเติบโตก้าวใหม่ จึงเป็นการมองหาพาร์ทเนอร์ที่ดี  มีความเก่ง แกร่ง มีจุดแข็งคนละด้าน เพื่อมาผสานกับสิ่งที่เป็นจุดแข็งของ "สิงห์"   

"มีความเชื่ออย่างนั้น เราอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อน ต้องมีความเก่งกันคนละด้าน" เขาย้ำ 

"เรามุ่งมั่น มุ่งหมายให้ทุกคนอยู่อย่างผาสุข ด้วยความเจริญ เดินไปสู่อนาคตที่ดี การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี อยู่เป็นครอบครัวดีที่สุด สิ่งสำคัญคือทุกคนมีต้องจริงใจ" ทั้งหมดเป็นประโยคสั้นๆ ที่เขากล่าวไว้กับพันธมิตร 16 ดอยที่ปลูกกาแฟดอยช้าง  

ที่ผ่านมาจะเห็นการตั้งโจทย์ของทายาทคนโตอย่าง "เต้ ภูริต" มองหาพันธมิตรระดับโลกและต้องเป็น 1 ใน 3 ของเซ็กเตอร์ธุรกิจนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้เขายกเครดิตให้ลูกชายเต็มๆ 

แม้กาแฟดอยช้าง จะไม่ติดท็อปทรี (1 ใน 3) แต่ก็เป็น ท็อปไฟว์ (1ใน 5) ของแหล่งผลิตกาแฟที่ดีที่สุดในโลก 

เรียกว่า...ไม่พ้นจากวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้นัก 

และจากนี้ไปการเจรจาร่วมทุนของสิงห์ จะมีให้เห็นอีกมาก เพราะสันติ ได้นโยบายแก่บริษัทในเครือ เช่น วราฟู้ดส์ แอนด์ ดริ๊งค์ มองหาผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่ม (food and beverage:F&B) ที่เป็นเอสเอ็มอี ขนาดรายได้ 1,000 ล้านบาท มาผนึกกำลังกันมากขึ้น ผลักดันเป็น "โฮลดิ้งส์" ของ F&B ขณะที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่อยู่แล้ว เช่น บางกอกกล๊าส (ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์) ก็จะต้องมีพันธมิตรระดับ "โลก" มาร่วมธุรกิจด้วย 

"ทำอะไรเราต้องทำระดับโลก" เขาหัวเราะ

ขณะที่หลายคนจับจ้องไปที่การลงทุนใหญ่ สันติ ไม่ปริปาก นอกจากเปรียบเปรยการซื้อกิจการบมจ.รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ก่อนเปลี่ยนเป็น "สิงห์ เอสเตท" ว่า ... 

"ลงทุนในสิงห์ เอสเตทไปเกือบ 5 หมื่นล้านบาทนี่..ยังไม่ใหญ่อีกเหรอ" เขาถามกลับอย่างอารมณ์ดี

ส่วนบิ๊กดีล ปีนี้ จะเป็นอะไร เขาหัวเราะและบอกว่า "บิ๊กดีลของผมเหรอ คือการตีกอล์ฟให้ได้ 80 (สกอร์)" ถามว่าทำไมต้องเป็นสกอร์ 80 เขาบอกว่า "ตั้งเป้าไว้ เพราะผมมีเป้าหมายของผมคือ 80 ผมมีมาตรฐานในตัวผม และคิดว่า 80 น่าจะดี และท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อวาน (22 ก.พ.) ผมทำได้ 79 สกอร์" 

เขายังบอกว่า ปัจจุบันยังคงทำงานทุกวัน และทำหนักกว่าเดิม ต่างกันที่ใช้สมองมากขึ้น ควบคู่กับการปล่อยให้บรรดาทายาทรุ่น 4 ปล่อยของให้เต็มที่ เพื่อให้กลุ่ม New business ที่ตั้งมาใหม่มีรายได้ 50% จากปัจจุบันรายได้ธุรกิจแอลกอฮอล์ มีรายได้สัดส่วน 75% 

แล้วเมื่อไหร่จะเห็นสัดส่วนสมดุลที่ว่า สันติบอกสั้นๆ ว่า "ไปถามพวกเขาเอง (ลูกๆ)"

  "ตอนนี้ก็ทำงานนะ ทำมากขึ้นกว่าเดิม คิดเยอะไหม ไม่รู้ รู้แต่ว่าสมองไม่เคยว่าง คิดไปเรื่อย แต่ยังไม่ค่อยแก่" เขายิ้มกว้าง 

พลันสิ้นสุดภารกิจ หัวสิงห์อย่าง สันติ ก็บึ่งรถ Porche คันงามที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "เต้-ต๊อด" ซื้อเป็นของขวัญตอบแทนที่พ่อเหนื่อยเพื่อลูกๆ มาตลอด มุ่งหน้าออกจากดอย