กมธ.ยกร่างรธน. ส่อคืนอำนาจ'กกต.'

กมธ.ยกร่างรธน. ส่อคืนอำนาจ'กกต.'

"เลิศรัตน์"เผยกรอบยกร่างรธน..เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล เน้นเรื่องการทำงานองค์กรอิสระ กำหนดให้ "กกต."ควบคุม-จัดการเลือกตั้ง"เหมือนเดิม

 หลัง "คจต."ยังไม่มีความพร้อม ปัดตอบเขียนนิรโทษกรรม คสช.ไว้ด้วยหรือไม่ ชี้เป็นเรื่องอนาคต ขณะองค์กรสตรีจี้"มีชัย" ผลักดันความเท่าเทียม"หญิง-ชาย"สัดส่วน 50 ต่อ 50 ใน รธน. "หม่อมอุ๋ย"ปัดนายกฯ เตรียมปรับ ครม. ยันรัฐมนตรี 3 กระทรวงผลงานดีทุกคน

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการประชุมอนุ กมธ.พิจารณายกร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เพื่อจัดทำร่างมาตราในส่วนของบทเฉพาะกาลว่า ถือเป็นบทบัญญัติที่ยกร่างขึ้นใหม่ โดยสาระสำคัญจะกล่าวถึงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะกำหนดให้ทำหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งส.ส.ให้สุจริตและเที่ยงธรรม รวมถึงดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามอำนาจและหน้าที่เดิม แม้ในร่างรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้การดำเนินการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) แต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ กจต.อาจยังไม่มีความพร้อมในแง่การตั้งตัวบุคคลหรือการอบรมให้ความรู้ในการดำเนินงาน


นอกจากนั้นมีวาระการดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่จะกำหนดให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่จบครบวาระดำรงตำแหน่ง หรือบางองค์กรอาจให้อยู่ต่อเพียงแค่วันที่ได้กรรมการใหม่ในองค์กรนั้นๆ เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส่วนประเด็นการนิรโทษกรรมให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น เข้าใจว่าไม่มีการพูดถึง เพราะเป็นเรื่องในอนาคต


เคาะกมธ.ยกร่างฯแทน"ทิชา"วันนี้
ขณะที่ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ทำหน้าที่เป็นประธาน ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นายเทียนฉายได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า นางทิชา ณ นคร สมาชิก สปช.ลำดับที่ 91 ได้มีหนังสือขอลาออกจากสมาชิก สปช.และสมาชิก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.จึงทำให้ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง จึงจะต้องมีการคัดเลือกสมาชิก สปช.มาเป็น กมธ.ยกร่างฯ แทนนางทิชา ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ลาออก โดยจะมีผลสิ้นสุดในวันที่ 16 มี.ค.


ดังนั้น ที่ประชุม สปช.จึงจะดำเนินการคัดเลือกในวันที่ 3 มี.ค.นี้ โดยให้สมาชิกเสนอชื่อบุคคลเป็น กมธ.ยกร่างฯ ซึ่งต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 5 คน จากนั้นจะดำเนินการออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับเลือกเป็น กมธ.ยกร่างฯ


"องค์กรสตรี"จี้ผลักดันสิทธิสตรีในรธน.
ที่รัฐสภา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี นำโดย น.ส.สุธีรา วิจิตรานนท์ ประธานที่ปรึกษาสมาคม พร้อมด้วยสตรีที่ได้รับรางวัลดีเด่นประจำปี 2558 เข้าเรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านนายมีชัย วีระไวทยะ และนางถวิลวดี บุรีกุล กมธ.ยกร่างฯ ขอให้ผลักดันสัดส่วนผู้หญิงให้เท่าเทียมกับผู้ชายในทุกระดับ ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 เพราะปัจจุบันผู้หญิงมีจำนวนประชากรที่มากกว่าผู้ชาย จึงขอให้ช่วยผลักดันสิทธิสตรีไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย


ด้านนางถวิลวดี กล่าวว่า ปัจจุบันได้เปิดให้สตรีเข้ามาทำงานการเมือง โดยให้ประชาชนได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกผู้หญิงเข้ามามีสัดส่วนในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นจะเป็นการเปิดศักราชใหม่หาก กมธ.ยกร่างฯ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ให้ความสนใจผลักดันเรื่องสิทธิสตรี


"บวรศักดิ์"ยันหนุนสิทธิสตรี
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ในการทำงานนั้น ตนยืนยันว่าสนับสนุนสิทธิสตรีมาตั้งแต่ต้นจนมีการบรรจุเรื่องการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงความเสมอภาคชายหญิง แต่เมื่อ กมธ.ยกร่างฯ บางคนไม่เห็นด้วย ก็พยายามรอมชอม หากมีการซาวเสียงแล้วคนส่วนใหญ่ว่าอย่างไร บวรกมธ.เสียงข้างน้อย ก็ต้องยอมรับ ส่วนสาเหตุการลาออกของนางทิชา ณ นคร นั้น ผู้ที่ตอบได้ดีที่สุดคือนางทิชาเอง เมื่อถามว่ายังมีความเป็นไปได้หรือไม่กับการกำหนดสัดส่วนของสตรีให้มีบทบาทในตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 1 ใน 3 เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่คณะ กมธ.ยกร่างฯ แขวนเอาไว้อยู่ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่ของคณะกมธ.ยกร่างฯ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ก็อย่าเพิ่งไปสรุปว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้


เมื่อถามว่า แสดงว่าการที่นางทิชาลาออกจากทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้เป็นข้อยุติ เป็นการตัดสินใจที่ใจร้อนเกินไปหรือไม่นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ตอนเข้ามาเป็น สปช.และกมธ.ยกร่างฯ ก็สมัครใจเข้ามา ส่วนที่เครือข่ายสตรีทั่วประเทศ เตรียมออกมากดดัน กมธ.ยกร่างฯ เพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีให้เท่าเทียมกันนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา การทำงานต้องถูกกดดันโดยทุกฝ่ายอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่จากสตรีอย่างเดียว มันเป็นธรรมดาของกระบวนการทำกฎเกณฑ์ระดับประเทศ มันเป็นธรรมชาติ อย่าไปสะดุ้ง เราก็รับฟังเอาไว้ แล้วนำมาดูกันอีกทีก็ได้ ไม่มีปัญหา กมธ.ยกร่างฯ ส่วนใหญ่เห็นอย่างไร ตนก็ต้องเอาตามเสียงส่วนใหญ่ คนที่ทำงานโดยหมู่มากต้องทำใจ


"ขนาดประธาน กมธ.ยกร่างฯ เคยเสนอหลายเรื่องในฐานะกรรมาธิการฯ แต่โหวตแพ้มาแล้วประมาณ 3 เรื่อง ก็ต้องกลับไปนอนท่องอยู่ที่บ้านว่ารัฐธรรมนูญนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเรายึดสปิริตของการทำงานเป็นหมู่คณะ ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรก็รับมตินั้นก็จบ"


"ศรีสุวรรณ"ยื่นปปช.สอบตั้งลูกเมียช่วยงาน
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 3 มี.ค.จะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการป.ป.ช.ให้ตรวจสอบสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ได้แต่งตั้งภริยา บุตร และเครือญาติ มาช่วยงาน สนช.ในตำแหน่งต่างๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการต่างๆ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 และผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง


ทั้งนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนและเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง ที่มีการแต่งตั้งลูกเมียตัวเองมาช่วยงาน ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่เช่นกัน ทั้งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีวัตถุประสงค์ไม่อยากให้เกิดการทุจริต และใช้อำนาจหน้าที่อย่างถูกต้อง แต่ สนช.ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายของ คสช.กลับมาทำไม่ถูกต้องเสียเอง จึงต้องยื่นเรื่องให้ตรวจสอบเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน


นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กรณีการจัดทำสติกเกอร์ไลน์ค่านิยม 12 ประการ ราคาแพงเกินจริง นั้น ล่าสุด ป.ป.ช.ได้เรียกไปให้ข้อมูลในฐานะผู้ร้องเรียน ซึ่งได้ให้ข้อมูลยืนยันไปว่า สติกเกอร์ไลน์ที่ รมว.ไอซีที และคณะกรรมการกำหนดราคากลาง เสนอราคาจัดทำสติกเกอร์ไลน์ดังกล่าวในราคา 7.1 ล้านบาท มีราคาแพงเกินจริง สูงกว่าราคาในท้องตลาดทั่วไป ซึ่งอยู่ที่ราคา 3-5 ล้านบาท อีกทั้งสติกเกอร์ไลน์ที่จัดทำออกมา 10 กว่ารูป ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับค่านิยม 12 ประการแต่อย่างใด เช่นคำว่า “รักจุงเบย” ไปเกี่ยวกับค่านิยม 12 ประการอย่างไร เกรงว่าเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานอื่นๆ นำไปเลียนแบบจัดทำตาม จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ


การเมืองพีคนักการเมืองปลุกต้านรธน.
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองว่า กำลังเข้าสู่ช่วงที่มีความร้อนแรง หรือ ช่วงพีค ทางการเมืองอีกครั้ง อันเนื่องมาจากการเปิดเผยร่างรัฐธรรมนูญที่มีความเกี่ยวข้องกับนักการเมือง จนทำให้นักการเมืองบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะออกมาวิจารณ์แรงๆและสร้างกระแสปลุกปั่นเพราะเขาเสียผลประโยชน์จากร่างรัฐธรรมนูญที่ทยอยเปิดเผยออกมา แต่รัฐบาลและ คสช.ยังเชื่อว่า การคงกฎอัยการศึกไว้จะช่วยให้ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองแน่นอน แต่ความเคลื่อนไหวของนักการเมืองจะแฝงมาในรูปแบบความเดือดร้อนของประชาชน เรื่องความเป็นอยู่และเกี่ยวกับการเกษตร ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็มีการจับตาส่วนนี้อยู่


"หม่อมอุ๋ย"ปัดนายกฯเตรียมปรับครม.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 3 กระทรวงที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ในเดือนมี.ค. ว่า ไม่มีเรื่องนี้ และไม่เคยได้ยิน เพราะถ้ามีเรื่องนี้จริง ตนคงต้องรู้เรื่องก่อน


เมื่อถามว่ากรณีที่อาจปรับ ครม.ในส่วนของตำแหน่ง รมว.และ รมช.เกษตรฯ นั้น เป็นเพราะผลงานในการแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะยางพาราไม่ประสบผลสำเร็จใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลงานของทุกคนดีหมด และเป็นที่ยอมรับว่าทำได้แค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องการปรับ ครม.


เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีเคยหารือเป็นการภายในหรือไม่ว่าควรจะปรับ ครม.ในช่วงไหนอย่างไร ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี นายกรัฐมนตรีไม่เคยพูดเลย มีแต่สื่อมวลชนพูดกันเอง


"อำนวย"ไม่กังวลหากถูกปรับออก
นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีติดโผรายชื่อรัฐมนตรีที่อาจถูกปรับออกจากตำแหน่ง เนื่องจากแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำไม่สำเร็จว่า ส่วนตัวไม่กังวลว่าจะถูกปรับออกหรือไม่และไม่เครียด เพราะถ้าทำเต็มที่แล้ว หน้าที่เราจบ ก็จบ อย่าไปฝืน แม้แต่โพลล์ที่ออกมา แต่ละสำนักยังไม่เท่ากัน บางแห่งให้คะแนนกระทรวงเกษตรฯ อันดับสอง รองจากกระทรวงกลาโหม บางสำนักให้อันดับสุดท้าย และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ได้มีความขัดแย้งกัน


เลื่อนครม.สัญจรเหตุนายกฯติดไปญี่ปุ่น
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ตามกำหนดการเดิม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จะเป็นประธานการประชุม ครม.-คสช.สัญจรครั้งแรก ระหว่างวันที่ 13-14 มี.ค.ที่สวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในการประชุมนั้น ปรากฏว่า ล่าสุดกำหนดการถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม โดยรายงานข่าวแจ้งว่า เนื่องจากนายกฯ ติดภารกิจเดินทางไปประชุมที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13-14 มี.ค.ซึ่งตรงกับกำหนดการประชุมครม.-คสช.พอดี
ด้าน พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค คณะทำงานนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม.-คสช.สัญจร จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งอาจจะเลื่อนไปเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งกำหนดการประชุมครม.-คสช.ที่จะเลื่อนไปจัดที่ใดและวันใด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาอยู่


ทั้งนี้ จะมีการเลื่อนประชุม คสช.-ครม.สัญจร จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาเป็นวันที่ 27-28 มี.ค.แทน