เน้นเลือกซื้อลงทุนเป็นรายตัว

เน้นเลือกซื้อลงทุนเป็นรายตัว

เศรษฐกิจไทยเดือนม.ค.2558 ฟื้นตัวอย่างช้าๆ

โดยภาคที่มีการเติบโตดีขึ้นชัดเจน คือ ภาคท่องเที่ยว ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น 15.9%YoY โดยหลักเป็นจีนและมาเลเซีย และจำนวนเพิ่มขึ้นดีต่อเนื่องมาในเดือนก.พ.2558 เพราะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน 

ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะมีภาระหนี้ครัวเรือนสูง รวมถึงราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะยางพาราที่ตกต่ำทำให้กำลังซื้อหดตัวด้วย (โดยรายได้ภาคเกษตรเดือนม.ค. -10%YoY) การลดลงของน้ำมันค้าปลีกในประเทศยังไม่ช่วยกระตุ้นการบริโภคมากนัก

การลงทุนยังกระเตื้องไม่มาก เพราะเอกชนรอดูโครงการลงทุนภาครัฐก่อน โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมม.ค.ยังหดตัว 1.3%YoY และอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยยังต่ำที่ 60.9%

มูลค่าส่งออกหดตัว 2.6%YoY เป็น 17,163 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นตามอุปสงค์ในจีนที่ชะลอและมูลค่าส่งออกน้ำมัน & ปิโตรเคมีลดลงตามราคาที่ร่วงแรง ปัญหาอุปทานกู้ไม่เพียงพอ การถูกตัดสิทธิ GSP ในสินค้าที่ส่งออกไป EU

สินเชื่อขยายตัว 4.3%YoY ในเดือนม.ค.2558 โดยหลักมาจากสินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เติบโต ส่วนสินเชื่อธ.พ.เพิ่มขึ้นไม่มาก ส่วนที่เพิ่มเป็นสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค แต่สินเชื่อลงทุนยังไม่เพิ่มขึ้น แต่ธ.พ.ยังมี CAR ที่แข็งแกร่ง 16.81% ในสิ้นม.ค.2558 (จากขั้นต่ำที่ 8.5%)

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป -0.41% ตามราคาพลังงานที่ลดลงแรง ขณะเดียวกันราคาเนื้อสัตว์ในประเทศลดลงตามอุปทานที่เพิ่มขึ้น
เงินทุนเคลื่อนย้ายม.ค.2558 เป็นติดลบ 1,894 ล้านดอลลาร์ โดยไหลออกสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 จากการออกไปลงทุนต่างประเทศ และการขายสุทธิของต่างชาติในตราสารหนี้และตราสารทุน แต่การเข้ามาลงทุนโดยตรง (FDI) ยังเพิ่มขึ้น

หวังสภาพคล่องจาก QE ยูโรโซนจะช่วยพยุงตลาดเดือนมี.ค. ทั้งนี้ ECB จะเริ่มเข้าซื้อพันธบัตรตามโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่ในเดือนมี.ค.2558 ถึงเดือนก.ย.2559 ในมูลค่า 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะมีสภาพคล่องเข้ามาในระบบเพิ่ม และน่าจะเป็น Catalyst ของตลาด แม้ว่าประสิทธิผลของ QE ยูโรโซนจะไม่มากเท่ากับ QE สหรัฐก็ตาม
คาดกลุ่มวัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง, พลังงาน, ปิโตรเคมี และขนส่ง Turnaround ในปี 2558 มาถึงปัจจุบันผลประกอบการปี 2557 ก็เป็นอดีตที่เอาไว้เทียบดูว่าการฟื้นตัวของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไรต่อในปี 2558 ซึ่งทาง DBSV ประมาณการว่ากำไรสุทธิบจ.ปี 2558 จะขยายตัวเป็นบวกได้ 10-12% โดยหลักมาจากการฟื้นตัวของกำไรกลุ่มวัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง, พลังงาน & ปิโตรเคมี และขนส่ง ส่วนกำไรสุทธิของกลุ่มที่เป็น Domestic Play อย่างธนาคารพาณิชย์, พาณิชย์, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ เติบโตไม่มาก (เป็นเลขหลักเดียว) เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวช้า และกว่าจะเห็นผลดีของมาตรการกระตุ้นต่างๆ ก็จะเป็น 2H58 หรือปี 2559

กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อ โดยเฉพาะจังหวะที่ราคาหุ้นอ่อนตัว โดยหุ้นเด่นในกลุ่ม Turnaround ได้แก่ AAV, MCS, SEAFCO, TOP, VNG ส่วนหุ้นที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจลงทุนเป็น AOT, RATCH

สำหรับหุ้นรอเวลาการฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่น่าสนใจทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุนเป็น AP, AMATA, CK, KBANK, TMB, INTUCH, SAMTEL, SAT เป็นต้น ส่วนหุ้นขนาดเล็กที่น่าจับตาเพราะแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ได้แก่ TRC, TH เป็นต้น