คนไทยป่วยหวัดใหญ่H3N2สวิตฯแต่ไม่รุนแรง

คนไทยป่วยหวัดใหญ่H3N2สวิตฯแต่ไม่รุนแรง

คนไทยป่วยหวัดใหญ่เชื้อ"เอช 3 เอ็น 2 สวิตเซอร์แลนด์" ย้ำเชื้อนี้ในไทยยังไม่กลายพันธุ์ แต่ไม่รุนแรง

วันนี้( 2 มี.ค.) ที่กรมควบคุมโรค(คร.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรค(วอร์รูม) เรื่องการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ เอช3เอ็น2(A/H3N2) สายพันธุ์ย่อยสวิตเซอร์แลนด์ที่ระบาดในฮ่องกงว่า จากกรณีพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอช 3เอ็น2 สายพันธุ์ย่อยสวิตเซอร์แลนด์ ในฮ่องกง 383 ราย เสียชีวิต 283 ราย และยังพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 หรือไข้หวัดใหญ่ 2009ที่ประเทศอินเดีย มีผู้ป่วยสะสม 16,235 ราย เสียชีวิต 926 ราย ในส่วนของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -23 กุมภาพันธ์ 2558 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ 10,032 ราย เสียชีวิต 8 ราย โดยจ.นครราชสีมา 7 ราย ลำพูน 1 ราย ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ๋ 2009 อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญต้องดูแลสุขภาพตัวเอง โดยเน้นกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และหากไอ จามควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการกระจายของโรค

"ขณะนี้ก็ต้องขอความร่วมมือกับทุกฝ่าย ก่อนเผยแพร่ข่าวสารใดๆ ขอให้มีการสอบถามอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันการแตกตื่นจนเกินเหตุ แต่คร.ไม่ได้นิ่งเฉย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานกับทางกระทรวงคมนาคมในการขอความร่วมมือการเดินทางต่างๆ โดยเฉพาะสายการบินต่างๆ ว่าหากพบผู้ป่วยมีอาการไอจาม ขอความร่วมมือในการสวมหน้ากากอนามัย โดยจะมีการใช้สโลแกนว่าไอเมื่อไรใส่หน้าการอนามัย"นพ.โสภณกล่าว

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดี คร. กล่าวว่า สำหรับการตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่เพื่อแยกสายพันธุ์ ปัจจุบันจะทำการส่งเชื้อไป 3 หน่วย คือ สำนักระบาดวิทยา คร. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันวิจัยทางทหารของสหรัฐอเมริกา โดยจะทำหน้าที่แยกเชื้อแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งในปี 2558 พบว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่พบมากที่สุด คือสายพันธุ์เอ เอช3เอ็น2(A/H3N2) ประมาณร้อยละ 68 รองลงมาคือ สายพันธุ์บี(B) ร้อยละ 24 และสายพันธุ์เอ เอช1เอ็น1(A/H1N1) หรือไข้หวัดใหญ่2009 มีประมาณร้อยละ 4 ทั้งนี้ สำหรับสายพันธุ์เอช 3 เอ็น 2 ที่พบการระบาดหนักในฮ่องกง เป็นสายพันธุ์ย่อยสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) ซึ่งจะแตกต่างจากสายพันธุ์เอช3เอ็น2 ที่ไทยเคยพบเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเฉพาะสายพันธุ์เอช3 เอ็น2 ที่พบผู้ป่วยในประเทศกว่าร้อยละ 68 เมื่อแยกชนิดย่อยลงไปจะพบว่าเป็นสายพันธุ์เอ สวิสเซอร์แลนด์ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดในฮ่องกงเกือบร้อยละ 90

"ขณะนี้มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่กว่า 10,000 ราย พบว่าเป็นสายพันธุ์ชนิดเดียวกับฮ่องกงร้อยละ 50 ซึ่งยังไม่มาก ที่สำคัญ เชื้อนี้ในไทยยังไม่รุนแรง ไม่มีการกลายพันธุ์ และไม่พบว่าเชื้อเกิดการดื้อยา จึงไม่ต้องกังวล ส่วนที่ฮ่องกงมีผู้เสียชีวิตมาก พบว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่สำคัญกลุ่มที่เสียชีวิตไม่พบการฉีดวัคซีนป้องกัน ขณะที่ไทยไม่ประมาท แม้จะพบผู้ป่วย แต่สามารถควบคุมโรคได้ รวมทั้งสธ.มีมาตรการในการเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ในเดือนเมษายนนี้จะมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นวัคซีนใหม่กว่า 3.5 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ก่อน ทั้งเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด ปอดบวม ไตวาย และมะเร็ง เป็นต้น"นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับวัคซีนใหม่ปีนี้ จะแตกต่างตรงสายพันธุ์เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ละปีสายพันธุ์จะหมุนเวียนกันไปในแต่ละประเทศ โดยวัคซีน 3 สายพันธุ์ปีนี้ ประกอบด้วย 1.เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดิมกับปี 2557 2.สายพันธุ์บี ปีนี้เป็นสายพันธุ์จากภูเก็ต โดยนำไปพัฒนาเป็นวัคซีน เนื่องจากพบว่ามีภูมิคุ้มกันมากกว่าสายพันธุ์ชนิดเท็กซัส(Taxas) และสายพันธุ์เอช3เอ็น2 สวิสเซอร์แลนด์ โดยจะฉีดวัคซีนเร็วขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 เป็นต้นไป จากเดิมจะเริ่มฉีดให้ช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน นอกจากนี้ องค์การเภสัชกรรม(อภ.)ยังเตรียมพร้อมเรื่องยาโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยขณะนี้มีวัตถุดิบในการผลิตประมาณ 3,000 กิโลกรัม สามารถผลิตยาได้ถึง 30 ล้านเม็ด