APCO ปีนี้ “โตเกิน 2 เท่า”“พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” Commit

APCO ปีนี้ “โตเกิน 2 เท่า”“พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” Commit

“ออกหาเงินนอกบ้าน” ยุทธศาสตร์สร้างเงินรอบใหม่ของ บมจ.เอเซียน ไฟย์โตซูติคอลล์ “ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” เอ็มดีใหญ่ กล้ารับปาก “รายได้และกำไร

พัฒนาการร้อนแรง!! ทั้งฐานะการเงินและราคาหุ้น หากจะเอ่ยเช่นนี้กับ บมจ.เอเซียน ไฟย์โตซูติคอลล์ หรือ APCO ผู้ดำเนินธุรกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเสริมความงามและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารสกัลธรรมชาติ คงไม่ผิดมากนัก

เพราะตลอด 3 ปีกว่า (2554-2557) ที่ APCO นั่งเป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ หรือ mai (เข้าตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2554) “กำไรสุทธิ” ได้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 50 ล้านบาท เป็น 55 ล้านบาท 78 ล้านบาท และ 118 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ราคาหุ้น APCO ก็พุ่งไปแล้วกว่า 800% โดยราคาเคยขึ้นไปสัมผัส “จุดสูงสุด” ที่ระดับ 34.75 บาท (29 ก.ย.2557) ล่าสุด บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้ออกมาแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 32.50 บาท โดยให้เหตุผลว่า การรุกตลาดต่างประเทศ และเตรียมขายผลิตภัณฑ์ผ่านออนไลน์จะเห็นเป็นรูปธรรมภายในปีนี้

บมจ.เอเซียน ไฟย์โตซูติคอลล์ เจ้าของวิสัยทัศน์ “ผู้นำในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงามที่เกิดจากงานวิจัยและพัฒนาสารสกัดจากธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์ไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2531 โดย “ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 50.08% (ตัวเลข ณ วันที่ 28 ส.ค.2557) ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผู้ก่อตั้งและคณะทำงานวิจัยเป็นผู้ทำการวัจัยและพัฒนาด้วยต้นเอง โดยมีหลักฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์รับรองประสิทธิภาพ

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักกว่า 70% มาจากการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ลดไขมันส่วนเกิน ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ และเครื่องดื่มบำรุงสุขภภาพ ส่วนที่เหลือมาจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเสริมความงาม เช่น ผลิตภัณฑ์ถนอมและบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยและจุดด่างดำ และผลิตภัณฑ์กระชับสัดส่วนเป็นต้น

โดยรายได้กว่า 90% มาจากในประเทศ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกว่า 77%และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเสริมความงามกว่า 15% ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายในต่างประเทศ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกว่า 4% และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเสริมความงามกว่า 1%

แต่เมื่อกำลังซื้อภายในประเทศทำท่าจะหดตัว หลังภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากการมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องสำอาง ทำให้บริษัทคิดแผนออกไปหาเงินนอกบ้าน ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “วันเอดส์โลก” บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ภายใต้ชื่อ “ผลิตภัณฑ์ LIV” สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV

ขณะเดียวกันบริษัทยังอออ “ผลิตภัณฑ์ Gold Shape” สำหรับผู้ที่ต้องการลดกระชัยสัดส่วน และ “ผลิตภัณฑ์ Arthrinok” แก้อาการข้อเสื่อม โดยทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ บริษัทจะมุ่งเป้าการขายไปในต่างประเทศ

แผนเจาะตลาดต่างประเทศรอบนี้ บริษัทหวังจะทุบสถิติ ทั้ง “รายได้” และ “กำไรสุทธิ” โดยคาดว่า ในปี 2558 จะมีรายได้ 2,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท ตามลำดับ

“ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเซียน ไฟย์โตซูติคอลล์ แจกแจงเรื่องนี้ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า ปัจจุบันตลาดในประเทศไม่ได้มีท่าทีจะขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังกำลังซื้อยังคงไม่ฟื้นตัว ในขณะที่ตลาดต่างประเทศมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากแผนธุรกิจในปี 2558 จะเน้นนำผลิตภัณฑ์ต่างๆไปขายนอกบ้าน

โดยปกติผลิตภัณฑ์ส่งออกจะมีอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างสูงกว่าขายในประเทศ โดยหากขายผ่านตัวแทนจำน่ายจะมีอัตรากำไรสูงถึง 60% แต่หากขายผ่านช่องทาง Digital Marketing จะยืนระดับประมาณ 30% ส่วนอัตรากำไรจากการขายผลิตภัณฑ์ในประเทศจะอยู่ระดับประมาณ 35%

ตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามในเมืองไทยมันก็มีพื้นที่อยู่เท่านี้ แถมเศรษฐกิจยังมาฝืดเคืองอีก แล้วใครจะมีเงินเหลือมาซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ฉะนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนแผน ด้วยการออกไปขายของนอกบ้าน ไม่เช่นนั้นผู้ถือหุ้นคงถล่มผมตาย ดังนั้นการตลาดในประเทศคงเน้นขายผลิตภัณฑ์ความงามเป็นหลัก ซึ่งในอนาคตจะลดสัดส่วนเหลือเพียง 5% จากกว่า 10%

เมื่อถามถึงรายละเอียดของแผนงานรุกตลาดต่างประเทศ “ชายวัย 70 ปี” ขยายความว่า บริษัทจะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ไปเจาะตลาดเมืองจีน ไตหวัน เกาหลี มาเก๊า มาเลเซีย บรูไน สหรัฐอเมริกา แคนาดา แม็กซิโก และอินโดนีเซีย เป็นต้น โดยจะจำหน่ายผ่านตัวแทนต่างประเทศ ปัจจุบันได้จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และสิงคโปร์ เรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันเมื่อปลายปี 2557 เราได้จัดตั้งแผนก APCO Global เพื่อดูแลเรื่องการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง Digital Marketing ทั่วโลก ล่าสุดเราได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Marketing จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อใช้ระบบ Margento E-commerce Platform ของ eBAY ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ตรงถึงผู้บริโภคต่างประเทศ

“แผนบุกตลาดนอกครั้งนี้จะทำให้รายได้รวมในปี 2558 ของบริษัทขยายตัว 2-3 เท่า” กรรมการผู้จัดการ เชื่อเช่นนั้น
ผู้ก่อตั้งบริษัท เล่าต่อว่า เราตั้งใจจะเดินหน้าทำการตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น จากปัจจุบันที่มียอดขายต่ำกว่า 1% วิธีการ คือ จะขายผลิตภัณฑ์ LIV สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ผ่านช่องทางออนไลน์

เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีประชากรที่ติดเชื้อ HIV ประมาณ 1.2 ล้านคน จากทั่วโลกประมาณ 3-4 ล้านคน ฉะนั้นหากเราสามารถขายได้เพียง 1% ของ 1.2 ล้านคน บริษัทคงประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉลี่ยกลุ่มลูกค้าดังกล่าวจะใช้เงินซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ HIV ประมาณ 7-8 หมื่นบาทต่อคน

หากเจาะตลาดสหรัฐอเมริกาสำเร็จ บริษัทมคงมองหาตลาดอื่นต่อไป แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่า เล็งประเทศไหนไว้บ้าง ตอบได้เพียงว่า การที่เรามีนักวิทยาศาสตร์ครบวงจร ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ APCO ประสบความสำเร็จจนมีกำไรต่อเนื่องมา 3 ปี และกำลังจะมีกำไรต่อเป็นปีที่ 4

เขา ยอมรับว่า อยากเห็นตัวเลขยอดขายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศมากกว่า 25% จากปัจจุบันที่อยู่เพียงระดับ 10% ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน APCO จะรุ่งเรืองมากๆ ตอนนี้กำลังลุ้นๆว่า ตัวแทนจำหน่ายประเทศอิตาลีจะสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารเบาหวาน และข้อเสื่อมหรือไม่ หลังเซ็นสัญญากับบริษัทมานานกว่า 2 ปีแล้ว

ปัจจุบันบริษัทจำหน่ายสินค้าอยู่ประมาณ 40-50 เครื่องการค้า โดยแบรนด์ Operation BIM จะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ส่วนแบรนด์ Gold Shape จะเป็นผลิตภัณฑ์ลดกระชับสัดส่วน หากพิจารณาจากผลิตภัณฑ์ของเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เน้นเจาะกลุ่มคนทำงานขึ้นไป ส่วนกลุ่มวัยรุ่นบริษัทไม่ได้ทำการตลาด เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการแข่งขันค่อนข้างสูง (มาก)

“ตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม APCO ถือเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพราะดำเนินการมาหลายสิบปี ที่ผ่านมาเราคิดค้นผลิตภัณฑ์เอง เรื่องนี้แบบนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ฉะนั้นหากใครจะเข้ามาเล่นธุรกิจนี้ ต่อให้ทำมาแล้ว 5 ปี ก็ก้าวขาไม่ทันเราอยู่ดี”

เมื่อถึง “จุดเด่น” ของ APCO “กรรมการผู้จัดการ” ตอบว่า สำหรับ “จุดเด่นด้านผลิตภัณฑ์” ข้อแรก คือ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีนวัตกรรมที่เกิดจากผลวิจัย ข้อสอง บริษัทมีทีมวิจัยหลักในการร่วมคิดค้นวิจัย และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆป้อนสู่ตลาด

ส่วน “จุดเด่นด้านการตลาด” ข้อแรก คือ บริษัทมีการสนับสนุนให้สมาชิกตัวแทนขายเปิดศูนย์จำหน่ายสินค้า เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้า จากส่วนกลางออกสู่ส่วนภูมิภาค ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

ข้อสอง บริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญในการจัดจำหน่ายในช่องทางค้าปลีก ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมให้กับธุริจของบริษัท และลดการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจขายตรง ข้อสามบริษัทมีการประชาสัมพันธ์หลากหลายช่องทาง ทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และมีการเผยแพร่ทางเวปไซด์ สื่อนิตยสาร รวมถึงสื่อเคเบิลทีวี เพื่อให้เกิดการสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้หลายช่องทาง

เขาไม่ลืมที่จะพูดถึงพันธกิจทั้ง 10 ข้อของบริษัทว่า ข้อหนึ่ง เราจะมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่มีคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยล่าสุดในศตวรรษที่ 21 ข้อสอง มุ่งส่งเสริมงานค้นคว้าวิจัยด้านสารสกัดจากธรรมชาติของนักวิจัยไทย ข้อสาม ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าด้านผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและความงาม

ข้อสี่ เพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทยและทั่วโลก ข้อห้า มุ่งเน้นให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักของต่างชาติ ข้อหก มุ่งสร้างอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ข้อเจ็ด ดำเนินการด้วยหลักบรรษัทภิบาล โดยคำนึกถึงผลที่ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคม ข้อแปด มุ่งเน้นการใช้ความคิดริเริ่มสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กร ผู้ถือหุ้น ข้อเก้า มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ ข้อสิบ สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้ร่วมงาน

“ผู้บริหารหน้าใส” เจ้าของรางวัล The Best CEO ทิ้งท้ายว่า ปีหน้า (2559) เรามีแผนจะย้ายหุ้น APCO ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ซึ่งหากย้ายไปแล้วหุ้น APCO คงได้เข้าไปซื้อขายใน SET 100

ที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราคาหุ้น APCO หากเข้าไปยุ่งราคาคงวิ่งไปไกลกว่านี้ เขาพูดติดตลก ฉะนั้นราคาหุ้นที่วิ่งมาไกลมาก จากวันที่บริษัทเข้าตลาดหุ้น อาจเป็นเพราะผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเห็นว่า เราพูดแล้วทำได้จริง ซึ่งทุกอย่างก็สะท้อนผ่านผลประกอบการ

ราคาเป้าหมายหุ้น APCO ที่เหล่านักวิเคราะห์ประเมินใหม่ ส่วนใหญ่อยู่แถวๆ 32 บาท ปัจจุบันหุ้นซื้อขายแถวๆ 29 บาท ซึ่งจากการสำรวจบทวิเคราะห์จากหลายๆโบรกเกอร์ พบว่า นักวิเคราะห์บางราย หมายเหตุไว้ว่า การพึ่งพิง CEO และทีมวิจัย รวมถึงกำลังซื้อในประเทศที่เบาบาง ,การถูกลอกเลียนแบบในต่างประเทศ และการตอบรับในตลาดต่างประเทศที่ต้องใช้เวลานาน คือ ความเสี่ยงของบริษัท แต่เราอยากบอกว่า ผลประกอบการย้อนหลังที่เติบโตมาตลอด บ่งบอกว่า เราสามารถบริหารจัดการได้