'ทาทาสตีล'คาดยอดขายตามเป้า

'ทาทาสตีล'คาดยอดขายตามเป้า

"ทาทาสตีล" คาดแนวโน้มผลประกอบการปี 2557/2558 สิ้นสุดมี.ค.นี้ดีขึ้น แต่งวด 9 เดือนยังแบกขาดทุน โดยภาพรวมทั้งปียังไม่มีกำไร

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TSTH กล่าวว่าคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2557/58 (ม.ค.58-มี.ค.58) จะดีกว่าไตรมาส 3 ที่ขาดทุน 183 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมทั้งปีแล้วผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรคงเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากรวม 3 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทยังมีผลขาดทุน 252 ล้านบาท ขณะที่สถานการณ์บริโภคเหล็กช่วงไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดมากพอที่จะทำให้ผลงานทั้งปีดีขึ้นได้มากนัก

ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 4 จะดีขึ้นด้วย 4 เหตุผลหลักได้แก่ ราคาเหล็กเส้นที่น่าจะเกือบถึงจุดต่ำสุดแล้ว ดังนั้น จึงน่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้สเปรดฟื้นตัวขึ้นตามอย่างช้าๆ โดยบริษัทคาดหวังจะขายเหล็กได้ที่ 8,000 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นระดับปกติที่ควรจะทำได้ แต่คาดว่าไม่น่าจะทำได้ถึงระดับนี้ น่าจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 7,300-7,500 บาทต่อตัน

งบประมาณการลงทุนจากภาครัฐที่ทยอยเร่งออกมา บริษัทส่งออกเหล็กได้เพิ่มขึ้นและลุ้นกระทรวงพาณิชย์ประกาศ AD เหล็กลวดคาร์บอนต่ำได้สำเร็จ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการไต่สวน ซึ่งหากประกาศใช้ได้ภายในปีนี้จะทำให้บริษัทฯ สามารถขายเหล็กลวดคาร์บอนต่ำได้ 10,000 ตันต่อเดือน จากปัจจุบันที่ขายได้เพียง 5,000 ตันต่อเดือน

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ยอดขายปี 2557/2558 (เม.ย.57- มี.ค.58) จะเป็นไปตามเป้าที่ 1.1-1.2 ล้านตัน แต่ต่ำกว่างวดเดียวกันปีก่อนเล็กน้อยที่ทำได้ 1.29 ล้านตัน โดยเหลือไตรมาสสุดท้ายก็เชื่อว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบริษัทฯจะพยายามเร่งให้ยอดขายเข้าใกล้ตัวเลขประมาณการที่ตั้งไว้ให้มากที่สุด

นายราจีฟ กล่าวว่า บริษัทประเมินการบริโภคเหล็กในประเทศปีนี้น่าจะเติบโตอย่างน้อย 5% จากปี 2557 ซึ่งมีปริมาณการบริโภคเหล็กในประเทศ 17.33 ล้านตัน หรือลดลง 3.5% จากปี 2556 โดยมองว่าความต้องการใช้เหล็กในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากสมมติฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ภาครัฐคาดว่าจะโต 4%จากปี 2557 ซึ่งเติบโตเพียง 0.7% เนื่องจากภาคการผลิตและภาคการก่อสร้างที่หดตัว
จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น บริษัทคาดว่าผลประกอบการปี 2558/2559 (เม.ย.58-มี.ค.59) จะดีกว่างวดปี 2557/2558 อย่างแน่นอน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทคาดจีดีพีปีนี้โต 3.5%ตามตัวเลขที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)ประมาณการไว้

นอกจากนี้จากการที่ประเทศจีนเริ่มหันมาควบคุมการส่งออกสินค้าเหล็กมากขึ้นเพื่อต้องการควบคุมการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ทำให้สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยอาจจะน้อยลง

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มอีก 3 ประเภทที่จะเข้ามาสนับสนุนยอดขายได้แก่ เหล็ก SD50,เหล็กตัดและดัด ซึ่งเป็นการต่อยอดเหล็กเส้นที่บริษัทผลิตอยู่แล้วมาตัดแล้วดัดตามที่ลูกค้าต้องการและประเภทสุดท้ายคือ เหล็กต้านทานการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ซึ่งบริษัทฯ ได้ส่งออกไปขายยังภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว และสินค้ามูลค่าเพิ่ม 3 อย่างนี้ ปัจจุบันคิดเป็น 14% ของยอดขายรวมและอนาคตก็จะเพิ่มมากขึ้น

"ประมาณเดือน พ.ค.ปีนี้ เราจะขอกระทรวงพาณิชย์ให้ทบทวนมาตรการ AD เหล็กลวดคาร์บอนสูงให้เก็บเพิ่มขึ้น ซึ่งเรตชั่วคราวที่เราเคยได้คือ 16% แต่ตอนนี้มาตรการดังกล่าวเก็บภาษีนำเข้าเพียง 5%ทำให้สินค้าจากจีนยังไหลเข้ามาได้"นายราจีฟ กล่าว ส่วนความคืบหน้าของการจัดการกับโรงถลุงเหล็ก Mini Blast Furnace (MBF) บริษัทคงแผนที่จะขายโรงถลุงเหล็ก MBFที่บริษัทฯ ได้หยุดดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังบอกได้ลำบากว่าจะขายได้เมื่อไร เนื่องจากขึ้นอยู่กับทิศทางอุตสาหกรรมเหล็กโลก และราคาขายก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณา