ไหว้พระเพลิน เดินตลาดเก่า

ไหว้พระเพลิน เดินตลาดเก่า

เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์อาจเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม

รอให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการงานตลอดทั้งสัปดาห์ได้พักฟื้นจนเต็มที่ แล้วให้นาฬิการ่างกายปลุกพวกเขาตื่นขึ้นเองไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะเดินไปถึงครึ่งค่อนวันก็ตามที


แต่สำหรับนักปั่นหลายคนหรือนักเดินทางที่ชอบออกไปเห็นโลกกว้างมากกว่าอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม...การตื่นเช้าเพื่อออกไปทำอะไรสักอย่างนอกบ้านนับเป็นการพักผ่อนที่เหนือชั้นกว่าการนอนอย่างมาก ผมก็เช่นกันที่ยอมดึงร่างตัวเองขึ้นจากที่นอนนุ่มๆ ทั้งที่ยังเมาขี้ตา และมองออกไปนอกหน้าต่างก็ยังไม่เห็นแสงตะวัน


เพราะตอนนี้ฤดูหนาวของคนกรุงเทพฯและปริมณฑลได้จบบริบูรณ์ไปแล้ว หากนักปั่นเริ่มเดินทางสายเท่าไรก็เท่ากับจะต้องเจออากาศและแดดร้อนแรงเท่านั้น ผมจึงรีบปั่นจักรยานออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสางโดยมีจุดหมายปลายทางคือวัดบางพลีใหญ่ใน หรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดหลวงพ่อโต อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ


ทั้งที่บ้านของผมอยู่ในพื้นที่อ.บางพลีมาตั้งแต่กำเนิด และระยะทางจากบ้านไปถึงวัดหลวงพ่อโตนั้นหากขับรถไปก็ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทว่าผมเคยไปวัดนี้เพียงสองหน และเมื่อเกือบกลางปีที่แล้วผมตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานไปเป็นหนที่สาม แต่ความตั้งใจครั้งนั้นกลับพังทลาย ไม่สิ มันถูกเพลิงไหม้เผามอดไปพร้อมกับบ้านเรือนในตลาดเก่าบางพลีซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัดนั่นเอง ข่าวร้ายครั้งนั้นทำให้ผมคิดไปเองว่าตลาดเก่าแห่งนี้คงไม่หลงเหลือแล้ว ผมจึงพับแผนการเดินทางครั้งนั้นไปนานเกือบปี


จนกระทั่งวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาผมปั่นจักรยานแหวกผ่านความมืดแห่งรัตติกาลไปตามถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังแล้วเลี้ยวเข้าถนนกิ่งแก้วไปอย่างไม่รีบร้อนนัก แสงไฟหน้ารถที่พุ่งเป็นลำเริ่มเลือนลางเพราะแสงแรกแห่งวันกำลังทอดทอพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ตื่นขึ้นมาทักทาย
หากแบ่งถนนกิ่งแก้วเป็นสองท่อน ผมกำลังจะเข้าสู่ท่อนที่สอง แต่ก็ต้องหยุดรถหาที่กำบัง...


แสงแดดที่กำลังแผดจ้า จู่ๆ ก็ถูกบดบังด้วยเมฆดำทะมึน ความมืดปกคลุมไม่ถึงสิบนาทีเม็ดฝนก็โปรยจากฟ้ากระทบหมวกจักรยานของผมดังเปาะแปะๆ หากเป็นขากลับผมอาจปั่นฝ่าสายฝนไปแล้ว แต่นี่คือขาไป ใต้สะพานลอยจึงเป็นที่พึ่งอันเหมาะสมที่สุดเท่าที่จะหาได้ ผมจอดหลบฝนจนแน่ใจว่าไม่เหลือฝนเม็ดใหญ่ให้เปียกปอนแล้วจึงออกปั่นต่อไป


ถนนกิ่งแก้วเป็นถนนสายกว้าง จึงมีพื้นที่มากพอให้ชาวจักรยานได้สัญจรไปพร้อมกับยานพาหนะประเภทอื่นๆ แต่ขนาดถนนก็ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัย เพราะถ้าปั่นจักรยานบนถนนสายนี้ ท่านจะมีเพื่อนร่วมทางเป็นรถบรรทุกตั้งแต่ขนาดย่อมยันรถพ่วงคันยักษ์ที่พร้อมจะเร่งเครื่องข่มขวัญนักปั่นทุกนาที และถ้าเข้าใกล้สักนิดจะได้สัมผัสถึงแรงดึงดูดพอๆ กับแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ดูดเข้าหารถบรรทุกแทน...อันตรายมาก นักปั่นควรระวัง
จากถนนกิ่งแก้วถึงแยกตัดกับถนนบางนา-ตราด ต้องข้ามถนนบางนา-ตราดไป อาจมีหลายวิธีข้าม แต่ผมปั่นขึ้นสะพานข้ามแยกซึ่งชันพอสมควร สำหรับนักปั่นมือใหม่ไม่ควรทำตามเพราะนอกจากทางชัน ยังมีรถขับเคียงข้างอย่างใกล้ชิดจนอาจเกิดอันตรายได้


ข้ามแยกมาอีกไม่ไกลจะเจอป้ายบอกทางไปวัดซึ่งเข้าทางเดียวกับที่ว่าการอำเภอบางพลี แต่แยกกันคนละทาง ถนนในซอยนี้ค่อนข้างพอดีรถสองคันสวนกัน มิหนำซ้ำยังมีฝาท่อระบายน้ำให้ปั่นหลบอยู่เป็นระยะๆ ตลอดทาง...ปั่นหลบได้ แต่ระวังรถด้านหลังด้วย


ไม่นานนักก็ถึงวัดบางพลีใหญ่ใน แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีที่จอดจักรยาน แต่มีลานจอดมอเตอร์ไซค์ ผมจึงไปจอดที่นั่นแล้วล็อคสองชั้น คือ ใช้ที่ล็อคจักรยานสองอันล็อคเฟรมกับล้อทั้งหน้าและหลัง ถึงจะไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็พอให้สบายใจได้ว่าโจรคงเสียเวลามากหน่อยหากจะขโมย


หลังจากนั้นเดินไปที่อุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร) ศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่าเมื่อ 200 กว่าปีก่อนหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งจากสามองค์ที่เกิดปาฏิหาริย์ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วรอนแรมไปโผล่ตามที่ต่างๆ ได้แก่ หลวงพ่อบ้านแหลม วัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม, หลวงพ่อโสธร วัดโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ในแห่งนี้ สำหรับหลวงพ่อโตนั้นล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเกิดปาฏิหาริย์วกกลับเข้ามาในลำคลองสำโรง ชาวบ้านศรัทธาจึงอาราธนาขึ้นฝั่งแต่มีเหตุให้นำขึ้นไม่ได้ จึงมีคนเสี่ยงทายแล้วใช้เรือพายลากไป ถ้าหลวงพ่อพอใจจะอยู่ที่ใดก็ให้หยุด และแล้วท่านก็หยุดที่นี่...


ตรงทางเข้าอุโบสถจะมีเด็กนักเรียนคอยรับฝากรองเท้านักท่องเที่ยวและสาธุชนที่เข้ามากราบไหว้หลวงพ่อ ซึ่งเด็กๆ ก็มาทำด้วยจิตอาสา (แต่ถ้าใครอยากให้สินน้ำใจก็มีตู้ให้หยอดได้) 

แม้เป็นเช้าตรู่แต่ก็มีผู้คนมากราบไหว้หนาตา กลิ่นควันธูปอบอวลผสมกับภาพที่พุทธศาสนิกชนเข้าวัดกันคับคั่ง ช่างน่าชื่นใจ แม้จะเป็นเพียงเปลือกที่เห็นกันได้ทุกวัดที่มีแนวทางแบบพุทธพาณิชย์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวพุทธเหล่านี้ก็ช่วยยืดอายุให้พุทธศาสนายังอยู่รอดได้ในยุคโลกาภิวัฒน์ มองที่เจตนา มองด้านดีแล้วกัน เข้าวัดจะได้สบายใจ


อย่างที่บอกไปว่าเดี๋ยวนี้อะไรต่อมิอะไรเป็นเชิงพาณิชย์ไปหมด ดังนั้นหากใครต้องการทำบุญก็มีหลายออปชั่นให้เลือก ทั้งเติมน้ำมัน, ตักข้าวสาร, ตีระฆัง, บริจาคค่าโน่นนี่นั่น ฯลฯ จะได้ไม่จำเจ


หลังจากทำบุญที่นี่ต้องห้ามพลาดเดินตลาดเก่าบางพลี ซึ่งอยู่ข้างวัดนี้เอง
ตลาดเก่าบางพลี หรือตลาดน้ำบางพลี เดิมทีเป็นชุมชนเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะเรื่องการค้าการขาย สมัยก่อนชาวบ้านและพ่อค้าวาณิชจะล่องเรือเข้ามาทำการค้ากันบริเวณนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางค้าขายของภาคตะวันออกสู่กรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันการค้าทางน้ำหายไปหมดแล้วเหลือเพียงร้านค้าที่อยู่ริมน้ำ ส่วนมากเป็นบ้านเรือนที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านค้า


ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้มาเดินตลาดแห่งนี้ผมประทับใจมากกว่าตลาดน้ำบางแห่ง เพราะรับรู้ได้เลยว่าที่นี่ไม่ได้ถูกนายทุนต่างถิ่นเข้ามาแทรกแซง แต่ส่วนมากยังเป็นชาวบ้านที่นี่ที่ทำมาค้าขายกันเอง สินค้าส่วนมากจึงเป็นของกินของใช้ เช่น ข้าวห่อใบบัว, ขนมไทยโบราณ, อุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น จะมีบ้างที่เป็นสินค้าเอาใจนักท่องเที่ยว เช่น แก้วที่ระลึก และเสื้อยืดที่ระลึก


ระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรผมใช้เวลาเดินนานพอสมควร ที่นานเพราะแวะดูสถานที่ถูกเพลิงไหม้ซึ่งตอนนี้กำลังค่อยๆ ฟื้นตัว ซากบ้านเรือนที่ตอนนี้เหลือแค่ตอตะโกชวนให้นึกถึงปัญหาตอนนั้นที่ถูกพูดถึงกันมากว่าทั้งที่อบจ.สมุทรปราการใช้งบมหาศาลซื้อเรือดับเพลิงไว้ใช้งาน แต่ทำไมไม่นำมาดับเพลิงที่ตลาดแห่งนี้ หรือบางทีชาวบ้านอาจต้องพึ่งพาวิธีเดิมๆ ตลอดไป นั่นคือใช้ถังตักน้ำมาช่วยกันรดให้ไฟกองโตดับ เหมือนที่ตรงทางเข้าตลาดมีถังดับเพลิงโบราณแขวนโชว์ไว้พร้อมกับระบุไว้เลยว่า 'ดับเพลิงบางพลี'


ไหนๆ ก็มาแล้ว เดินมาอีกหน่อยจนสุดทาง ข้ามสะพานข้ามคลองไปจะมีศาลเจ้าพ่อไกรวัลย์พันงู สะท้อนวิถีชีวิตคนริมน้ำซึ่งที่นี่ในอดีตมีงูชุกชุม และข้างๆ กันคือศาลตายายเป็นที่เคารพของคนย่านนี้ไม่แพ้กัน


ไหว้พระ เที่ยวตลาด แถมยังได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่น การปั่นจักรยานมาครั้งนี้แม้ฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจ แต่ก็สนุกและสุขไปอีกแบบ