บิ๊ก'ไทยยูนีคฯ'ยักยอกทรัพย์

บิ๊ก'ไทยยูนีคฯ'ยักยอกทรัพย์

“ก.ล.ต.” ประกาศกล่าวโทษกรรมการ-ผู้บริหาร “ไทยยูนีค คอยล์เซ็นเตอร์” กับพวกรวม 9 ราย เหตุจัดทำเอกสาร-บัญชีเท็จ-ทุจริต

สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร บริษัทไทยยูนีค คอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “TUCC” กับพวกรวม 9 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีร่วมกัน หรือเป็นผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดของกรรมการและผู้บริหารของทียูซีซี ในการบันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า ไม่ตรงต่อความเป็นจริง และกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังทรัพย์สินของบริษัทเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่น และแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทช่วงปี 2553-2554

บุคคลที่ถูกกล่าวโทษ ประกอบด้วย นายยงยุทธ งามไกวัล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางวัชรีย์ งามไกวัล กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสุจิตต์ รุ่งเจริญชัย อดีตกรรมการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน นางสาวนิตยา ยงค์พิทักษ์วัฒนา กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป นางสาวสุทธิรัตน์ เสวี กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี บริษัท บี เอฟ อินเตอร์เทรด จำกัด “บี เอฟ” บริษัท เค.เอส.ซี. สแตนเลส โปรดักส์ จำกัด “เค.เอส.ซี.” นางสาวเจริญรัตน์ ชื่นวิรัชสกุล กรรมการของ บี เอฟ และเค.เอส.ซี. และบริษัท ไทยนิชเช่ จำกัด “ไทยนิชเช่”

สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชี 2 ราย มีข้อสังเกตในงบการเงินงวดไตรมาส 2 ปี 2554 และงวดปี 2554 จึงแจ้งข้อมูลอันควรสงสัยดังกล่าวต่อคณะกรรมการตรวจสอบของทียูซีซี ตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบทั้ง 2 ครั้งว่า ไม่พบความผิด โดยพบบริษัทมีข้อบกพร่อง เกี่ยวกับระบบการควบคุมภายใน แต่ไม่พบประเด็นทุจริต

“ก.ล.ต. ตรวจสอบเพิ่มเติม และพบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานและได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของบริษัท ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวัง เพื่อดูแลรักษาประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นโดยรวม”
จากข้อมูลที่ตรวจพบ บุคคลดังกล่าวร่วมกันดำเนินการให้บริษัท 2 แห่ง คือ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ซึ่งเกี่ยวข้องกัน และมีนางสาวเจริญรัตน์ เป็นกรรมการบริษัท ออกเช็คล่วงหน้าให้ ทียูซีซี และไทยนิชเช่ (บริษัทย่อยของ TUCC) โดยลวงว่า ทียูซีซี และไทยนิชเช่ ได้ขายสินค้าเหล็กดำให้กับบริษัททั้งสองแห่ง แล้วให้ทียูซีซี และไทยนิชเช่นำเช็คดังกล่าว ไปขายลดกับสถาบันการเงิน อ้างว่าเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในกิจการ เมื่อเช็คที่นำไปขายลด ครบกำหนดเรียกเก็บเงิน จึงสร้างรายการบัญชีที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงว่า สั่งซื้อเหล็กดำจากบริษัทผู้ค้าเหล็กดำ 8 ราย มูลค่ากว่า 520 ล้านบาท เพื่อให้สั่งจ่ายเงินจากบัญชีธนาคาร โดยอ้างนำไปชำระหนี้ตามเช็คของบี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ที่นำไปขายลดไว้ และจากการตรวจสอบยังพบว่า เงินที่ได้เบิกจากธนาคารไปแล้ว บางส่วนถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหาร

การกระทำของนายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ ที่ร่วมกันให้ ทียูซีซี บันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อเหล็กดำจากบริษัท 8 แห่ง และการขายเหล็กดำให้กับไทยนิชเช่ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดย บี เอฟ เค.เอส.ซี. นางสาวเจริญรัตน์ และไทยนิชเช่ ให้การช่วยเหลือสนับสนุน ซึ่งการกระทำของกรรมการและผู้บริหารทียูซีซีทั้ง 5 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นการทุจริตยักยอกเงินทียูซีซีไปเพื่อตนเองและผู้อื่น

ฝ่าฝืนมาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 และมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ด้วย ดังนั้น การถูกกล่าวโทษข้างต้น จึงมีผลให้นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี และต้องพ้นจากตำแหน่งโดยผลของมาตรา 89/4 และมาตรา 89/6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ นับแต่วันที่ถูกกล่าวโทษ โดยในคดีอาญา นายยงยุทธกับพวก มีสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมในการชี้แจงและแสดงหลักฐานต่อพนักงานผู้มีอำนาจในลำดับต่อไป

การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายอาญา การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลยุติธรรม

สำหรับกรรมการตรวจสอบ 3 ราย ที่ได้รับแจ้งจากผู้สอบบัญชีเหตุสงสัยเรื่องน่าเชื่อถือของงบการเงินทียูซีซี 2 ฉบับ และรายงานผลการตรวจสอบต่อก.ล.ต. ดังกล่าว ต่อมากรรมการตรวจสอบชี้แจงต่อ ก.ล.ต.ว่า รายงานดังกล่าวสรุปผลจากการสอบถามข้อมูลจากฝ่ายบัญชีของบริษัทที่ปฏิบัติงานเรื่องอันเป็นเหตุสงสัย โดยไม่ได้สอบทานเอกสารหลักฐาน หรือเข้าตรวจสอบด้วยวิธีการอื่นใดเพิ่มเติม ทั้งที่คณะกรรมการตรวจสอบมีบทบาทสำคัญประการหนึ่งในการสอบทานรายการทางการเงิน ระบบการควบคุมภายใน และการทำรายการที่ผิดปกติของบริษัท หากพบลักษณะนี้ คณะกรรมการตรวจสอบควรเร่งหารือผู้สอบบัญชี ก่อนสอบทานเชิงลึกต่อไป

เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบละเลยการทำหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือผู้บริหารทียูซีซีในการกระทำผิด ก.ล.ต. จึงมีหนังสือกำชับกรรมการตรวจสอบทุกราย ให้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการตรวจสอบเคร่งครัด ทั้งนี้ กรรมการตรวจสอบทั้ง 3 รายได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของทียูซีซีไปก่อนหน้านี้