ตรวจเครดิตบูโรพุ่ง10% คนตื่นรับภาวะศก.ชะลอ

ตรวจเครดิตบูโรพุ่ง10% คนตื่นรับภาวะศก.ชะลอ

เผยยอดตรวจเครดิตบูโรพุ่ง10% คนตื่นตัวรับภาวะเศรษฐกิจชะลอ

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาสแรกปี 2557 ที่ผ่านมา มีประชาชน บริษัทห้างร้านที่เป็นนิติบุคคลตลอดจนธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) ให้ความสนใจมาตรวจเครดิตบูโรของตนเองเป็นจำนวน 119,397 รายการ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 107,833 รายการ ถือว่าสูงขึ้น 10.72%

สาเหตุที่ประชาชนและบริษัทห้างร้านต่างๆ ให้ความสนใจเข้ารับการตรวจเครดิตบูโรเป็นจำนวนมาก เป็นผลจากการตื่นตัวเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ตลอดจนข่าวสารการฉ้อฉลข้อมูลจากมิจฉาชีพ การเตรียมตัวเพื่อขอสินเชื่อ การตรวจสุขภาพทางการเงินของตนเองว่ามีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนและทันสมัย หรือไม่ ตลอดจนเป็นผลมาจากการรณรงค์เรื่องวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัยใช้หนี้ ให้ครบให้ตรง”

เขากล่าวว่า ในด้านจำนวนการตรวจเครดิตบูโรของสถาบันการเงินสมาชิกเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อ/เพื่อการออกบัตรเครดิตตลอดจนการใช้ข้อมูลเพื่อการทบทวนสินเชื่อ (Credit Review) ในช่วงไตรมาส 1/2557 จำนวนการเข้ามาดูข้อมูลเครดิตบูโรในฐานข้อมูลเครดิตที่มีบุคคลธรรมดาเป็นลูกหนี้มีจำนวนรวม 11.93 ล้านรายการ เทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2556 ที่มีจำนวน 6.39 ล้านรายการ สูงขึ้น 86.7%

“จำนวนการเข้ามาดูข้อมูลเครดิตบูโรในฐานข้อมูลเครดิตที่มีนิติบุคคลเป็นลูกหนี้มีจำนวน 0.15 ล้านรายการ เทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2556 ที่มีจำนวน 0.08 ล้านรายการ สูงขึ้น 87.5%”นายสุรพลกล่าว

สำหรับการเข้ามาดูข้อมูลเครดิตบูโรเพื่อการทบทวนสินเชื่อ (Credit Review) มีจำนวน 8.86 ล้านรายการ เทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2556 ที่มีจำนวน 2.97 รายการ สูงขึ้น 198.32 % โดยตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เนื่องจากความกังวลในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและปริมาณที่มีผู้ยื่นขอสินเชื่อเป็นจำนวนมาก และท้ายสุดมาจากเหตุผลที่ว่าสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรเน้นการบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย

ส่วนจำนวนบัญชีสินเชื่อในฐานข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในเครดิตบูโร พบว่า ฐานข้อมูลระบบบุคคลธรรมดามี 25.47 ล้านลูกหนี้ รวม 71.5 ล้านบัญชี เทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2556 ที่มีจำนวน 23.59 ล้านลูกหนี้ หรือ 67.07 ล้านบัญชี สูงขึ้น 7.97% และ 6.62% ตามลำดับ