ท่องเที่ยวแบบเศร้าๆ

ท่องเที่ยวแบบเศร้าๆ

นักท่องเที่ยวในโลกนี้มีหลายกลุ่ม บางกลุ่มไม่สนใจความสวยงามหรือประวัติศาสตร์ของสถานที่ ชอบแต่ชอปปิง ในขณะที่อีกกลุ่มก็ชอบตรงกันข้าม

ในปัจจุบันมีการท่องเที่ยวประเภทหนึ่งที่ไม่ได้เป็นตามกระแสและมีจำนวนสมาชิกมากขึ้นทุกที นั่นคือการท่องเที่ยวแบบ Dark Tourism นักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้จะนิยมไปเยี่ยมสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเพราะอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ การฆาตกรรมหรือถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย พวกเขาไปดูซากปรักหักพังต่างๆ หรือไปเพื่อย้อนรอยเหตุการณ์

ความนิยมในการท่องเที่ยว Dark Toursim มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดการค้นคว้าวิจัยและตั้งเป็นสถาบัน Institute for Dark Tourism ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล แลนคาเชียร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อวิจัยที่มาและผลกระทบกันเลยทีเดียว เว็บไซท์ของสถาบันนี้ให้ตัวอย่างของสถานที่ท่องเที่ยวประเภทนี้ไว้หลายแห่งเช่น บริเวณตึกเวิร์ลเทรดที่นิวยอร์คที่ถูกโจมตีในปี 2544 สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรม อิตาลี ซึ่งใช้เป็นที่ต่อสู้และประหัตประหารกันของนักรบแกลดิเอเตอร์และค่ายกักกันชาวยิวในเยอรมัน

ส่วนที่เมืองซาคราเมนโต้ สหรัฐอเมริกา บ้านพักสำหรับคนชราไร้ญาติที่เคยเป็นสถานที่เกิดการฆาตกรรมโหดสะท้านโลกในปี 2536 ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Dark Tourism ที่ได้รับความนิยม บริษัททัวร์จัดบ้านหลังนี้อยู่ในโปรแกรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมความน่าสะพรึงกลัว

ที่นี่เคยเป็นของ โดโรเธีย พุนเต้ ฉากหน้าเธอเป็นแม่พระที่ดูแลคนชราไร้ญาติ แต่ภายหลังพบว่า เธอฆ่าคนชราไปทั้งหมด 7 คน เพื่อรับเช็คเงินสวัสดิการและนำไปขึ้นเงินเสียเอง เธอถูกตัดสินประหารชีวิต 2 ครั้ง แต่เธอก็มาเสียชีวิตในคุกเสียก่อน ปัจจุบัน บาร์บาร่า โฮมส์ และทอม วิลเลียมส์ ซื้อบ้านหลังนี้มากเมื่อ 3 ปีที่แล้วและนำมาปรับปรุงใหม่ แต่พวกเขาก็เปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในโอกาสต่างๆ ในทัวร์หนึ่ง อดีตนักสืบจอห์น คาร์บรีร่า ซึ่งปัจจุบันเกษียณแล้วก็มาร่วมให้ข้อมูลด้วย

เขาชี้ให้ลูกทัวร์ดูว่า ห้องนี้เป็นห้องที่พุนเต้วางยาและฆ่าเหยื่อของเธอ “ในตอนนั้นผมดึงพรมในห้องนี้ขึ้นดูและสังเกตว่ามีรอยอะไรบางอย่างอยู่ที่พรม ตอนนั้นผมเชื่อว่า ต้องเป็นเลือดจากมนุษย์แน่นอน” ที่มุมห้องมีหุ่นผู้หญิงซึ่งแต่งตัวเหมือนนางพุนเต้ยืนหน้าตาขมึงทึง หุ่นถือเสียมด้วย (เหยื่อทั้งหมดถูกฝังในสวนของบ้านพัก)

ส่วนที่ญี่ปุ่น สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลกหลั่งไหลไปเยี่ยมชมริคูเซนทากาตะ ในจังหวัดอิวาเตะของญี่ปุ่น เมืองนี้เกือบหายไปจากแผนที่ในเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มญี่ปุ่นเมื่อปี 2554

ก่อนหน้านั้น ชายหาดแสนบริสุทธิ์ ป่าสนเก่าแก่ที่เป็นเส้นทางเดินป่าสุดหรูของที่นี่ติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่นที่ทุกคนต้องมาชม แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวกลับมาที่นี่เพื่อดูผลงานของสึนามิและเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิต พวกเขาพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาบอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้น

“เราไม่มีทางสัมผัสมหันตภัยสึนามิครั้งใหญ่นั้นได้ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเองและมองดูไปรอบๆ” อากิระ ชินโด วัย 15 ปี จากนิวยอร์กกล่าว เขาร่วมในเส้นทางท่องเที่ยวพื้นที่ที่ถูกสึนามิพัดถล่มในเขตชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น

นอกจากซากปรักหักพังแล้ว นักท่องเที่ยวต่างพากันไปยืนดูต้นสนมหัศจรรย์ที่เป็นต้นเดียวที่รอดพ้นจากสึนามิครั้งนั้น ในริคูเซนตากาตะ ต้นสนกว่า 70,000 ต้น ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องเมืองจากคลื่นลมทะเลมากว่า 300 ปี ถูกพัดหายไปหมด เงินสนับสนุนกว่า 150 ล้านเยนถูกส่งมาเพื่อฟื้นฟูสภาพต้นสนนี้

บริษัทนำเที่ยว ชูอิจิ มัตสึดะ พานักท่องเที่ยว 24 คน มาที่นี่เพราะไม่อยากจะให้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเลือนหายไปจากความทรงจำ

ใจกลางเมืองไครท์เชิร์ชของนิวซีแลนด์ที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะยังเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การมีนักท่องเที่ยวไปเยือนก็เป็นการทำรายได้ให้กับธุรกิจหลายประเภท