เนิบช้า (อย่าง) โอกินาว่า

เนิบช้า (อย่าง) โอกินาว่า

ท่ามกลางเสียงโอดครวญว่าโลกเราชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน จนบางคนรู้สึกว่าไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

แต่ที่บนเกาะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น หลายคนมุ่งหน้าไปที่นั่นเพราะถวิลหาอยากมีชีวิตที่ยืนยาวให้นานที่สุด

-1-

ท้องฟ้าใส หาดทรายขาว และอากาศเย็นสบายริมทะเลอีสต์ ไชน่าในช่วงปลายเดือนมีนาคม ทำให้การเดินทางแบบที่ไม่ได้ตั้งตัวและมีเวลาเตรียมตัวน้อยสุดๆ กับทริปการไปเยือนจังหวัดโอกินาว่าน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

ด้วยความที่มีความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางในครั้งนี้น้อยมาก เลยตั้งใจจะหาข้อมูลจากคนท้องถิ่นให้มากที่สุด ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะทริปนี้ฉันได้หนุ่มใหญ่ชาวญี่ปุ่นนามว่า โชจิ เป็นไกด์นำทาง

โอกินาว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของญี่ปุ่นและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะริวกิวที่ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายราว 160 เกาะ แต่มีเพียง 49 เกาะที่มีคนอาศัยอยู่ โดยโอกินาว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด เมืองหลวงของโอกินาว่าคือนาฮา ระยะทางจากใต้สุดจนถึงเหนือสุดของเกาะมีความยาว 120 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดของเกาะมีความกว้างเพียง 20 กิโลเมตร

เดิมโอกินาว่าอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่อย่างริวกิว ด้วยความที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเกาะไต้หวันและจีน จึงได้รับอิทธิพลจาก 2 ประเทศมามาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี อาหาร สถาปัตยกรรมต่างๆ โอกินาว่าเพิ่งจะถูกญี่ปุ่นครอบครองมา 130 ปีเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคน “ริวกิว” ตามที่เรียกกันมาดั้งเดิมโดยคนจีนหรือคน “โอกินาว่า” ที่คนญี่ปุ่นเรียกจึงมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของคนทั้ง 3 ชาติ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าโอกินาว่าไม่มีความเป็นญี่ปุ่นจ๋าแต่ออกไปทางจีนและไต้หวันมากกว่าก็คือในโอกินาว่าไม่มีย่านไชน่าทาวน์เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ

“ถึงแม้จะมีคนจีนอาศัยอยู่บนเกาะนี้จำนวนมาก แต่ที่นี่ก็ไม่มีไชน่าทาวน์เหมือนเมืองอื่นๆ เช่น โอซาก้า หรือโตเกียว เพราะคนญี่ปุ่นและคนจีนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มีความสัมพันธ์กันแนบแน่นและผสมผสานวัฒนธรรมเข้าด้วยกันจนแทบจะหลอมรวมเป็นคนชาติเดียวกัน” โชจิเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ

อิทธิพลอีกอย่างหนึ่งของจีนที่ยังคงตกทอดมาให้เห็นทุกวันนี้ก็คือ ชาวโอกินาว่าจะมีการฉลองวันขึ้นปีใหม่ 2 ครั้งคือ ฉลองแบบสากลซึ่งเหมือนกับญี่ปุ่นในวันที่ 1 มกราคมและฉลองวันตรุษจีนหรือวันปีใหม่ของชาวจีน โดยเฉพาะชาวบ้านในหมู่บ้านประมงริมทะเล เด็กๆ จะได้ซองอั่งเปาตามแบบธรรมเนียมจีนในวันขึ้นปีใหม่จีนด้วย

โชจิเล่าว่า คนญี่ปุ่นจาก “เมนแลนด์” หรือบนเกาะใหญ่ซึ่งหมายถึงเมืองที่อยู่บนเกาะฮนชูรวมถึงโตเกียว และโอซาก้าชอบอพยพมาอยู่ที่เกาะทางตอนใต้แห่งนี้ ซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วยที่ย้ายถิ่นฐานจากโอซาก้ามาเป็นชาวเกาะเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว เหตุผลที่โชจิหนีมาเป็นชาวเกาะก็เหมือนกับเหตุผลของคนอื่นๆ นั่นคือ เบื่อความวุ่นวายของเมืองใหญ่

เมื่อ10 กว่าปีก่อน ภาพของโอกินาว่าในสายตาของคนจากเกาะใหญ่คือ สถานที่พักผ่อนตากอากาศที่มีทะเลใส ฟ้าสวย อากาศเย็นสบาย ผู้คนเป็นมิตร อาหารมีประโยชน์ต่อสุขภาพ คนไม่เครียด สบายๆ ทำให้โอกินาว่าได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีคนอายุยืนยาวที่สุดในโลกมากที่สุด ซึ่งถือเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของโอกินาว่าด้วย

โชจิแอบเมาท์เล็กๆ ว่า ด้วยความที่เป็นคนสบายๆ เลยทำให้ชาวริวกิวมักทำอะไรไม่ค่อยตรงเวลา ซึ่งต่างจากคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปที่ซีเรียสเรื่องเวลาและขึ้นชื่อว่าเป็นคนตรงเวลามากๆ

ตอนนี้โอกินาว่ากำลังประสบปัญหาเรื่องการจ้างงาน เพราะใครๆ ก็อพยพมาเป็นชาวเกาะทำให้มีปัญหาเรื่องการหางานทำ แต่จะบอกว่าโชคดีก็ได้ที่โอกินาว่าเป็นที่ตั้งฐานทัพของทหารอเมริกันในญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และปัจจุบันยังมีทหารอเมริกันอยู่ในโอกินาว่าราว 2 หมื่นคน ทำให้คนโอกินาว่าจำนวนหนึ่งได้รับการจ้างงานที่ฐานทัพ

-2-

ร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือให้เห็นถึงอิทธิพลของจีนที่มีเหนืออาณาจักรริวกิวที่ชัดที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปราสาทชูริ หนึ่งใน 9 แหล่งมรดกโลกของโอกินาว่าและเป็นปราสาทที่สำคัญที่สุดที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด

ปราสาทอายุราว 600 ปีแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองนาฮา ทางตอนใต้ของจังหวัด ชูริ เป็นปราสาทแห่งเดียวในโอกินาว่าที่ได้รับการบูรณะใหม่หลังถูกทําลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

อาคารปราสาทที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1992 โดยพยายามสร้างเลียนแบบให้เหมือนกับปราสาทหลังเดิมมากที่สุด โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพถ่าย บันทึกทางประวัติศาสตร์และข้อมูลของผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ในขณะที่ปราสาทแห่งอื่นๆ อีก 7 แห่งของจังหวัดหลงเหลือแต่ซากปรักหักพัง บางแห่งก็เหลือแต่ตัวกำแพง แทบหาซากตัวปราสาทไม่เจอ

เมื่อเดินเข้าไปถึง ลานอูนา พลาซ่า หน้าพระราชวังหลัก ภาพตรงหน้ามันชวนให้นึกถึงพระราชวังต้องห้ามของปักกิ่งขึ้นมาทันที

ภายในบริเวณพระราชฐานชั้นในแบ่งเป็นพระตําหนัก 3 หลังคือ พระตำหนักกลางซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชาซึ่งสร้างตามแบบพระราชวังต้องห้ามของจีน และพระตําหนักเหนือและใต้ ภายในพระตำหนักยังมีพระราชบังลังก์ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งแบบจําลองการจัดพระราชพิธีในยุคที่อาณาจักรริวกิวยังคงเรืองอํานาจหลงเหลือให้เห็น

คุณป้าเคโกะ ไกด์วัย 63 ปีแต่ยังคงกระฉับกระเฉงและเป็นคนพาทัวร์ปราสาทเล่าว่า ชูริเป็นปราสาทที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรริวกิว สร้างขึ้นราวค.ศ.1400 ในอดีตเป็นจุดศูนย์กลางการปกครองของเกาะริวกิวรวมถึงเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและวัฒนธรรมบนเกาะแห่งนี้ด้วย

จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้คือมีสีแดงอมส้มและเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างจีน ญี่ปุ่นและโอกินาว่า คุณป้าเคโกะชี้ให้ดูความแตกต่างของสถาปัตยกรรมทั้ง 3 หลังและอธิบายว่าพระตำหนักกลางจะทาสีแดงตามแบบจีน ส่วนพระตำหนักขวาที่สร้างขึ้นมาใหม่แทนตำหนักเดิมก็สร้างแบบสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนพระตำหนักซ้ายก็สร้างตามแบบโอกินาว่าที่มีเอกลักษณ์คือมีหลังคากระเบื้องดินเผา

หลังจากเดินออกจากปราสาท แวะถ่ายรูปกับประตูหินโซโนะยัน อูตากิ ซึ่งเป็นประตูโบราณและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประตูแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเกือบ 500 ปี ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นสู่ปราสาทชูริ คุณป้าเคโกะบอกว่า ในสมัยโบราณเมื่อพระราชาจะเสด็จออกนอกเขตพระราชฐานจะต้องเสด็จมาที่ประตูนี้เพื่อสวดขอพรให้การเดินทางปลอดภัย ประตูนี้ยังเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโอกินาว่าโบราณด้วย

แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโอกินาว่าอีกหนึ่งแห่งคือ ชูราอูมิ อะควาเรียม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้ชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองโมโตบุทางตอนเหนือของเกาะ ภายในมีอะควาเรียมใต้ทะเลหรือแท้งค์ขนาดใหญ่ถึง 7,500 ลูกบาศก์เมตรจนรู้สึกเหมือนกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในแท้งค์มีปลาฉลามวาฬขนาด 7.5 เมตร 3 ตัว และกระเบนราหูยาว 3-4 เมตรอีกหลายตัวที่ว่ายเวียนไปมาโชว์ความฉลาดและแสนรู้ให้นักท่องเที่ยวประทับใจ

เพราะความที่เป็นเกาะล้อมรอบไปด้วยทะเลและมีบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกคล้ายกับเกาะมัลดีฟส์ที่ติดอันดับสถานที่ที่คนอยากไปจัดงานวิวาห์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เกาะโอกินาว่าจึงมีจุดขายด้านการท่องเที่ยวอีกอย่างคือเป็นจุดหมายปลายทางของสถานที่จัดงานวิวาห์ของคนเอเชีย ถึงกับมีบริษัทที่รับจัดงานแต่งงานเป็นแพคเกจ มีโบสถ์ราว 10 แห่งที่เปิดให้คนที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลือกใช้เป็นสถานที่จัดงานครั้งสำคัญของชีวิต

-3-

แม้โอกินาว่าจะเป็นจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่น แต่ก็มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งแตกต่างวัฒนธรรมของญี่ปุ่นทั่วไป เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของโอกินาว่าก็คือการหลอมรวมอิทธิพลของหลายๆ ประเทศเข้าด้วยกันทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลีรวมถึงประเทศไทยด้วย และไม่เพียงจะเป็นการหลอมรวมด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมแต่ยังรวมถึงอาหารและเครื่องดื่มด้วย

ในขณะที่เหล้าประจำโต๊ะอาหารของคนญี่ปุ่นคือ สาเก แต่คนโอกินาว่าดื่ม "อะวาโมริ" (Awamori) หรือเหล้าขาวที่ได้รับอิทธิพลจากบ้านเรานั่นเอง อะวาโมริ คือเหล้าที่ผลิตจากข้าวโดยการกลั่นซึ่งต่างจากเหล้าสาเกที่ใช้วิธีต้ม ชาวโอกินาว่านิยมดื่มเหล้าอะวาโมริโดยผสมน้ำและน้ำแข็ง แต่ก็มีผู้ที่นิยมดื่มแบบเพียวๆ หรือ ออนเดอะร็อก

ประวัติศาสตร์ระบุว่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการค้าระหว่างสยามประเทศกับอาณาจักรริวกิว ชาวริวกิวจึงได้เรียนรู้การกลั่นเหล้าจากชาวสยามมาเป็นเวลานานกว่า 500 ปีแล้ว แต่มีการดัดแปลงให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศของริวกิว

อาหารของโอกินาว่าก็ไม่เหมือนญี่ปุ่นทั่วไป คนโอกินาว่าจะกินสาหร่ายที่เป็นเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มไม่ใช่สีเขียวเหมือนสาหร่ายเย็นของญี่ปุ่น สาหร่ายอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของโอกินาว่าคือ อูมิบูโด หรือ ซีเกรปส์ ที่เป็นเม็ดเขียวๆ หน้าตาเหมือนพวงองุ่นและไข่ปลาคาเวียร์

-4-

โจแอนนา นักข่าวสาวชาวฮ่องกงที่เป็นเพื่อนร่วมทริปซึ่งมีโอกาสไปเยือนโอกินาว่าหลายครั้ง และเธอก็มาเที่ยวเมืองไทยปีละหลายครั้งเช่นกันบอกว่า เมืองทางตอนเหนือของโอกินาว่ามีความเหมือนกับอำเภอปายบ้านเราอย่างหนึ่งตรงที่บรรดาคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติหลากหลายอาชีพทั้งหมอ ทนายความและสถาปนิกต่างต้องการหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ๆ และพากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาใช้ชีวิตสบายๆ ที่จังหวัดใต้สุดของญี่ปุ่น

คำเปรียบเปรยของเธอน่าจะช่วยทำให้คนไทยรู้จักโอกินาว่ามากขึ้น

…….

เพียงแค่ 3 วันในโอกินาว่า รู้สึกได้เลยว่าความไฮเปอร์ของตัวเองหายไปเยอะ นั่นอาจเป็นเพราะว่าฉันได้พลัดเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตเนิบช้าของชาวโอกินาว่า คนท้องถิ่นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด นักธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ทางการแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นลายดอกสไตล์ฮาวายอันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนถวิลหาชีวิตชิลชิลแบบชาวเกาะ

ลองไปดู แล้วจะรู้

...............................

การเดินทาง

ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าถ้าพำนักอยู่ไม่เกิน 15 วัน

จากกรุงเทพมหานครยังไม่มีไฟล์ทบินตรงไปยังโอกินาว่า นักท่องเที่ยวสามารถบินผ่านสนามบินฮาเนดะ ของกรุงโตเกียวโดยสายการบินออล นิปปอน แอร์เวยส์ จากนั้นต่อเครื่องบินภายในประเทศไปยังสนามบินนาฮา เมืองหลวงของโอกินาว่าโดยใช้เวลาบินอีกราว 3 ชั่วโมง หรือใครจะเลือกบินผ่านฮ่องกง หรือไทเปของเกาะไต้หวันก็ได้

สนามบินนาฮาเพิ่งจะเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเพื่อรองรับไฟล์ทบินตรงและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น

ช่วงเวลาที่เหมาะไปเที่ยวโอกินาว่าคือเดือนกันยายน - ตุลาคมเพราะมีเทศกาลประจำปีชื่อดังที่ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นศึกชักเย่อเชือกที่ยาวที่สุดในโลกที่มีคนร่วมกันดึงเชือกยาว 200 เมตร

ใครที่ชื่นชอบความงดงามของดอกซากุระ แนะนำให้ไปช่วงมกราคม - กุมภาพันธ์ ที่โอกินาว่ามีซากุระบานให้ชมเร็วที่สุดในญี่ปุ่น เพราะซากุระจะเริ่มบานจากทางตอนใต้ของประเทศและไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดท้ายทางเหนือคือเกาะฮอกไกโด

คนที่ชอบเทศกาลรื่นเริงแนะนำให้ไปช่วงเดือนสิงหาคมเพื่อชมงานเต้นเออิซาหรือการเต้นระบำพื้นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดโอกินาว่าที่มีนักเต้นราวหมื่นคนมาร่วมกันเต้น นักท่องเที่ยวก็สามารถร่วมเต้นด้วยได้