หน้าใส...ด้วยปลายนิ้ว

หน้าใส...ด้วยปลายนิ้ว

ใครๆ ก็อยากหน้าสวยเด้ง และนี่คืออีกวิธีการ ใช้แค่ปลายนิ้วเคาะเบาๆ โดยไม่ง้อศัลยกรรม หรือครีมหน้าเด้ง ก็สวยได้

"ประกาศตัวเป็นโปร...ค้นพบศาสตร์เคาะหน้า คนแรกของโลก"

....................

เป็นไปได้อย่างไร แค่พรมปลายนิ้วลงบนหน้า เหมือนเป็นการผ่อนคลายในสปา ภายใต้เสียงเพลงไพเราะบรรเลงให้ชวนเคลิ้ม ใช้เวลา 45 นาที เมื่อตื่นขึ้นมาพบกับใบหน้าวีเชฟโดยไม่ต้องใช้มีดหมอ ไม่เหลาคาง
กิรณา แก้วกาหลง ผู้คิดค้นศาสตร์เคาะหน้า ออกมายืนยันว่า เธอสามารถปฏิวัติวงการความงาม เหลาใบหน้าให้เรียวแหลม ตึงกระชับ เด้งใส ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ให้จางลงได้ด้วยมือล้วนๆ ไม่ร้อย ไม่โม ไม่โบ ไม่เหลา ไม่ใช้สารเคมี ไม่เจ็บ ไม่มีผลข้างเคียง และที่สำคัญไม่ต้องทำศัลยกรรม

เหตุใดเธอถึงทำได้เช่นนั้น

ต้นคิดศาสตร์เคาะหน้า

เมื่อปี 2540 ช่วงที่ครอบครัวของเธอพบกับวิกฤตเศรษฐกิจ ธุรกิจมันสัมปะหลังล้มละลาย จึงต้องขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ใช้หนี้ แต่ก็ยังเหลือหนี้สินอีก 10 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ลูกคุณหนูชาวร้อยเอ็ด วาดฝันไว้ว่าจะเรียนต่อด้านอาหารและโภชนาการ เพราะฝันจะเป็นเชฟมือหนึ่ง จึงต้องดิ้นรนขอทุนเรียนจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตโชติเวช รวมทั้งทุนอาหารกลางวัน โดยแลกกับการเป็นนักเรียนดีเด่น และนักกิจกรรมตัวยง ความขยันมุมานะบากบั่นสู้ชีวิต ทำให้เธอได้งานทำก่อนเรียนจบ

เพราะขยันทำงานมากกว่าคนอื่น 2 เท่า ทำงานจนเป็นระดับผู้บริหารห้างฯ สรรพสินค้าดังแบรนด์จากเมืองนอกนาน 7 ปี จนประสบอุบัติเหตุ ตกบันได กระดูกก้นกบแตกร้าว มีปัญหาส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้ชะตาว่าจะทำงานหนักต่อไปไม่ไหว ตั้งเป้าทำงานให้พีคถึงจุดสูงสุด แล้วลาออกมาหาธุรกิจเล็กๆ ด้านความงามจนค้นศาสตร์นี้

"เชื่อไหมว่าตอนทำงานเงินเดือนเยอะๆ มีความสุขไม่เท่าการเริ่มทำธุรกิจความงามเล็กๆ นวดหน้าแค่ 50 บาท แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ขณะที่เราเปิดร้าน นำเอาระบบของบริษัทใหญ่เข้ามาใช้ในร้านเล็กๆ ซึ่งไม่ได้มีแผนกต่างๆรองรับเหมือนบริษัทใหญ่ ก็เลยทำให้พนักงานรับไม่ไหว ลาออกไปคนแล้วคนเล่า จนสุดท้ายทิ้งเราไว้คนเดียว ตอนนั้นมีความรู้สึกผิดหวังมาก ก็เลยเข้าวัดเพื่อหาที่พึ่งทางใจ นั่งวิปัสสนา ตอนแรกอึดอัดใจมากเพราะเราเป็นคนทำงานสู้ชีวิต ไม่เคยหยุดนิ่งหยุดพูด พอไปอยู่ตรงนั้นทนไม่ไหว จนกระทั่งวันสุดท้ายใกล้จะจบ เรารู้สึกผ่อนคลาย เพราะว่าใกล้จะสิ้นสุดวันทรมาน อาจจะเป็นเพราะเราผ่อนคลายก็เลยสงบนิ่งค้นพบตัวเอง จากคำพูดที่ว่า Start Agan ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ "

หลังจากออกจากวัด เธอตั้งใจที่จะเป็นคนใหม่ มีความเยือกเย็นมากขึ้น พูดจาดีขึ้น รู้จักฟังผู้อื่นบ้าง เปลี่ยนความคิด และมุมมองใหม่ กลับมาบริหารธุรกิจความงามอีกครั้ง จนวันหนึ่ง เธอรู้สึกปวดหัวคิ้ว เนื่องจากเกิดอาการบวม จึงใช้นิ้วคลึงเบาๆ ผลปรากฏว่า คิ้วยกตัวขึ้น กลายเป็นคิ้วไม่เท่ากัน คิ้วยกตัวนาน 4-5 วัน จนมีคนทักว่าหน้าเบี้ยว เธอจึงลองคลึงคิ้วอีกข้าง ผลปรากฏว่าคิ้วยกขึ้นไปเท่ากัน จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของอาชีพที่ไร้ต้นทุนตามที่เธอเคยแอบใฝ่ฝันไว้ เริ่มทดลองคลึงหน้าตัวเอง นวดที่ร่องแก้ม ทำให้แก้มที่เคยบาน ยุบตัวลง โครงหน้ากราม สี่เหลียมหายไป คล้ายกับคนไป

ศัลยกรรมเหลาหน้า

" คราวนี้เริ่มสนุก หันไปทดลองนวดให้คนใกล้ตัว นวดให้ป้า นวดให้น้า และคนรอบข้าง แม่ของน้อง (โปรน้อง-กิรณา) อายุ 70 ปีแล้ว ตอนแรกเขาไม่ยอมให้นวด บอกว่าแก่แล้วไปนวดให้คนอื่นเถอะ พอนวดเคาะแล้วก็เห็นผล ใบหน้าตึงเปี๊ยะขึ้นมาทันที ทุกคนรอบๆตัวเราก็เริ่มมีใบหน้าที่เปลี่ยนไป คนเริ่มมาทักว่าไปทำอะไรมา เราก็เลยเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ต ดูเยูทูบบ้าง ดูว่าเคยมีใครเป็นเจ้าของศาสตร์นี้หรือยัง ปรากฏว่ายังไม่มีใคร เราก็เลยกล้าประกาศว่าเป็นเจ้าของศาสตร์เคาะหน้าคนแรกของโลก ไม่ได้ประกาศเพื่อให้เราดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นการประกาศเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองก้าวข้ามพ้นความกลัวเท่านั้นเองคะ ”

โปรน้องเล่าว่า ตอนแรกมีการสัมภาษณ์ลงหนังสือ มีหมอศัลยกรรมท่านหนึ่งโทรศัพท์มาต่อว่า เธอหลอกลวงประชาชน เธอต้องไปทำศัลยกรรมมาแน่ๆ จึงท้าพิสูจน์ด้วยการให้คุณหมอท่านนั้นมาพบที่สถาบันความงามของเธอ แล้วทำการเคาะหน้าให้กับเขา จนทุกวันนี้ทั้งสองกลายเป็นพันธมิตรต่อกันไปเรียบร้อยแล้ว

รีดน้ำเหลืองลงขยะ

ศาสตร์ที่เรียกว่า 'การเคาะหน้า' นั้น ฟังดูแล้วน่าจะมี เครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรสักอย่าง เพื่อทำการเคาะเบาๆ แต่ว่าเปล่าเลย ? เพียงแค่ปลายนิ้วลูบไล้ไล่บนใบหน้า แล้วใช้นิ้วเคาะเบาๆ ชวนให้เคลิ้มหลับสบาย
โปรน้องเจ้าของสูตรเล่าว่า

“ การเคาะหน้าเราจะใช้เวลา 45 นาทีต่อครั้ง ต้องทำ 7 ครั้ง ก็จะอยู่ได้นานถึง 1 ปี มีทั้งหมด 12 ขั้นตอน เท่- อุเทน พรหมมินทร์ เขามาทำครั้งที่ 4 กรามก็หายไปแล้ว ซึ่งเขารู้สึกมหัศจรรย์มากเลย ศาสตร์การเคาะหน้าของเรา ต้องอาศัยกล้ามเนื้อในการทำงาน เราแค่หาจุดของต่อมน้ำเหลือง ทางเดินของน้ำเหลืองให้เจอ แล้วก็รีดมันไป เพราะน้ำเหลืองคือของเสียที่ค้างอยู่บนใบหน้า ซึ่งเราแต่ละคนสะสมมานาน พอเรารีดมันออกไป แล้วเคาะปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้ไหลย้อนกลับ นี่ก็คือหลักการของศาสตร์นี้ เพราะสาเหตุของใบหน้าที่คล้อย ย้อย ย่น เพราะเราไม่เคยถ่ายขยะออกจากใบหน้า แม่เราตอนแรกไม่ยอมทำบอกว่า ไม่เอาแม่แก่แล้ว ในที่สุดตอนนี้คุณแม่เดินไปไหนมาไหน คนอายุ 50 ยังอายเลยนะ ”

นอกจากการรีดน้ำเหลืองเสียลงถังขยะไปแล้ว เธอยังแนะวิธีการล้างหน้า ทาครีมบำรุง ที่ถูกต้องให้กับลูกค้า เพื่อนำกลับไปถนอมดูแลใบหน้าของตัวเอง เผลอๆ กลับไปเคาะหน้าเองที่บ้าน โดยไม่ต้องกลับมาใช้บริการอีกก็ยังได้

“น้องจะไม่กั๊กวิชา จะถ่ายทอดหมด เพราะเราไม่ใช้เครื่องมือใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสารเคมี ตอนที่เราคิดค้นศาสตร์นี้ได้ น้องก็ไปเรียนด้านกายวิภาคศาสตร์ หรืออนาโตมี เพิ่มเติมจากคุณหมอที่มหาวิทยาลัยมหิดล เพราะแรกๆเราไม่รู้ว่านวดแล้วเกิดการยุบลงไปได้ยังไง เพราะมันเป็นความบังเอิญอย่างที่น้องบอก แต่ความจริงแล้วน้องเรียนด้านฟู้ดซายน์ที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว พอจะมีความรู้บ้าง แต่ก็ไปเรียนเพิ่ม เพื่อให้ความรู้แน่นขึ้น ความจริงน้องตั้งใจอยากจะเผยแพร่วิชานี้ให้กับคนที่ไม่มีอาชีพด้วย เพราะเราเคยเป็นคนที่ไม่มีโอกาส ชีวิตเราเคยยากลำบาก ต้องดิ้นรนต่อสู้ทำมาหากิน ก็เลยตั้งใจว่าจะสอนอาชีพนี้ให้กับคนที่ต้องการเรียนแค่ 500 คน ในเมืองไทย ซึ่งตอนนี้สอนไปแล้ว 125 คน ซึ่งลูกศิษย์บางคนมีรายได้เลี้ยงตัวเองสบายๆ ในคอร์สที่เรียนต้องเสียเงินเราสอนทุกอย่าง ซึ่งถ้าเรามองว่าอาชีพนี้ เป็นธุรกิจก็คือธุรกิจ แต่ถ้าเรามองว่าเป็นศาสตร์ของการให้ ก็คือศาสตร์ของการให้ ให้ชีวิต ให้อาชีพ เรียนแล้วเอาไปประกอบอาชีพได้ค่ะ ”

เจ้าของสูตรเคาะหน้าเผยว่า ใช้ครีมยี่ห้อใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องราคาแพง เพียงแต่ใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน แต่ครีมที่ไม่เหมาะก็คือประเภทมีไขมัน หรือมีน้ำมัน เพราะจะทำให้ผิวร้อน ควรเป็นสูตรน้ำจะดีที่สุด การใช้ครีมเพียงเพื่อทำให้เกิดการลื่นไหล นวดง่าย ใช้มือเคาะสะดวกเท่านั้นเอง
ข้อควรระวังก็คือ หากเพิ่งร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ ทำโบท็อกซ์ หรือศัลยกรรมต่างๆ มา รวมทั้งมีอาการสิวอักเสบ ไม่ควรรับบริการเคาะหน้า ควรให้ผ่านพ้นไป 2 เดือนก่อน โปรน้องว่า นอกจากเคาะหน้าให้สวยใสแล้ว เธอยังแนะศาสตร์การลดน้ำหนักด้วยการเคาะตัวอีกด้วย โดยการเคาะด้านข้างตั้งแต่ต้นขาจนถึงบริเวณเหนือเข่าวันละ 200 ครั้ง เพราะบริเวณนั้นมีท่อน้ำดีที่ทำหน้าที่ย่อยไขมันในร่างกาย รวมทั้งกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย เธอทดลองเคาะ 1 เดือน น้ำหนักตัวลดไปถึง 10 กิโลกรัมเลยทีเดียว

หลักการเคาะหน้า น่าจะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

ความบังเอิญหลายอย่างในโลกนี้ที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุผล นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์อายุรเวชศาสตร์ อายุรวัฒน์ นานาชาติ แสดงความเห็นว่า ศาสตร์ของการเคาะหน้า เป็นไปได้ที่ คอลลาเจน ในโครงกระดูกใต้ผิวหนังฟื้นคืนกลับมาใหม่

"ผมว่าการเคาะหน้า น่าจะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้กระดูก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนคอลลาเจนของแต่ละบุคคลด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นเทคนิคการยกกระชับอย่างหนึ่ง ที่เคยมีแล้วก็คือการใช้คลื่นวิทยุ RF(Radio Frequency) ซึ่งก็เป็นที่นิยมเ พราะไม่ต้องไปผ่าตัด ไม่ต้องร้อยไหม ไม่เจ็บตัว ก็สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอิลาสตินใต้ผิวหนังได้ ความจริงคนอายุ 60-70 ปี คอลลาเจนเริ่มน้อยลง ก็จะเกิดปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย ตีนกาเกิดขึ้นแต่บางคนต้นทุนมาดี คอลลาเจนมีเยอะก็อาจจะใช้ศาสตร์ของการเคาะหน้าได้ผล เรามีคอลลาเจนเยอะหรือไม่สังเกตได้จากเวลาเป็นแผลจะหายเร็ว แสดงว่าคอลลาเจนดี หรือไม่ก็ดูจากรูปร่างถ้าอวบ หรือมีกล้ามเนื้อ ก็แสดงว่ามีคอลลาเจน เพราะกล้ามเนื้อก็คือคอลลาเจนนั่นเอง "

กลไกการทำงานของเทคนิคนี้ คุณหมอบอกว่า ก็คือ การเผาผลาญไขมันส่วนเกินทิ้งไป ยกตัวอย่างคนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านม จะมีอาการน้ำเหลืองคลั่ง ขาบวม หนังตาห้อย เกิดจากเลือดดำคลั่ง หากไล่ของเสียเหล่านี้ออกก็จะมีใบหน้าที่สดใสขึ้น ส่วนการเสริมสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม อาจทำได้โดยการรับประทานอาหารไทย เช่น ซุปไก่ ต้มข่าไก่ ซุปเปอร์ตีนไก่ อุุดมไปด้วยคอลลาเจน แต่ต้องบีบมะนาวลงไปด้วยนะ เพราะวิตามินซีจะทำให้ดูดซึมดี และต้องงดอาหารประเภททำลายคอลลาเจนด้วยนะ บรรดาขนมหวานท้ังหลาย อย่างเค้ก ขนมปัง คุ๊กกี้ มาการีน เบเกอร์รี่ทั้งหลาย น้ำผลไม้กล่อง กาแฟ คาราเมล ไซรัป เพราะน้ำตาลเป็นศัตรูตัวร้ายของคอลลาเจน กาแฟและแอลกอฮอลล์จะรีดน้ำในร่างกายของเราออกไป สังเกตง่ายๆ คนดื่มเบียร์ ดื่มไวน์จะตัวบวมๆ ฉุๆ นอกจากทำลายคอลลาเจนแล้ว ยังมีไขมันไปพอกอีกด้วย "

คุณหมอกฤษดา สรุปว่า หมั่นออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ รับประทานให้ถูกสุขอนามัย จะทำให้ร่างกายแข็งแรง หน้าตาสดใส อาหารประเภทเนื้อสัตว์สีขาว เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ จะมีไขมันดี อุดมไปด้วยคอลลาเจน การออกกำลังกายหน้า เช่น สูตรโยคะหน้าใส ของสถาบัน 'ฉัตริษา โยคะ' ก็ใช้หลักการใกล้เคียงกัน เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า การแสดงออกทางสีหน้าเช่นการแยกเขี้ยว หยีตา หรือการฉีกยิ้มบ่อยๆ จะทำให้กล้ามเนื้อนูนเป็นก้อน

และเวลายิ้มมีเสน่ห์ชวนมองโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมให้เสียสตางค์ !!!