เยือนโพรวองซ์ ยลทุ่งดอกไม้สีม่วง

เยือนโพรวองซ์ ยลทุ่งดอกไม้สีม่วง

อากาศอันแสนอบอุ่นช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ปลุกให้บรรดาต้นไม้ใบหญ้าตื่นจากหลับใหล แข่งกันผลิดอก ออกใบ อย่างขมีขมัน

..น่าจะหมดเวลาของการพักผ่อนในช่วงฤดูหนาวอันแสนยาวนานเสียที

. . .

ช่วงนี้วางแผนไปเที่ยวชมเมืองมรดกโลก แถบฝรั่งเศสตอนใต้อย่าง 'โพรวองซ์' น่าจะเหมาะ โดยเริ่มต้นจากเมืองลียง ลัดเลาะลงไปเรื่อยจนถึงเมืองตากอากาศสุดหรู ณ เมืองนิซ (Nice) มีทั้งแหล่งชอปปิง สินค้าแบรนด์เนมและท้องถิ่น หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชายหาดที่ยาวสุดลูกหูลูกตา หรือว่าจะนั่งชิลล์ที่ร้านกาแฟละเลียดบรรยากาศแบบหมุนโลกให้ช้าลงก็คงเข้าท่าดี แถบโพรวองซ์เต็มไปด้วยธรรมชาติงดงาม อากาศดี และมีเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลก คราวนี้ขอเริ่มต้นที่เมืองแห่งน้ำ แล้วไปสิ้นสุดลงที่ชายหาดสุดหรูแห่งโพรวองซ์ ก่อนบินกลับกรุงเทพมหานครอย่างแสนสุขใจ

มนต์เสน่ห์ของเมือง Aix-en-Provence

การเยือนเมืองน้ำหอมครั้งแรกของเรา จุดประสงค์แรกที่ต้องการมาก็คือชิมอาหารฝีมือเชฟมิชลินสตาร์ เพราะมากับหม่อมหลงงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ ในทริปที่พาผู้โชคดีคนฟังรายการวิทยคลื่น Cool 93 fahrenheit มาเปิดประสบการณ์กับกูรูนักชิม ที่ ‘โพรวองซ์ ฝรั่งเศส’ จุดประสงค์ต่อมาก็คือได้เห็นเมืองมรดกโลกในแคว้นโพรวองซ์ ได้ชื่นชมดอกไม้สีม่วงอย่างใกล้ชิด และสุดท้ายคือได้ชอปปิงกระเป๋าแบรนด์เนม ให้สมกับมาเมืองแห่งแฟชั่น

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจภาคบังคับ เราลงใต้สู่ Ville d'Eau et Ville d'Art แปลว่า เมืองน้ำ หรือหมายถึงเมืองที่มีน้ำ(พุ) ซึ่งคำว่า ‘เอ็กซ์’ หรือ ‘aqua’ เป็นภาษาละตินแปลว่าน้ำนั่นเอง ดังนั้นจึงเห็นน้ำพุเยอะแยะมากมายเต็มเมืองไปหมด มีคนเคยนับไว้ว่ามีมากกว่า 100 แห่งด้วยซ้ำ แถมยังมีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไป ซึ่งน้ำพุเหล่านี้เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเมืองนี้ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะที่สวยงามอีกด้วย

ไกด์ชี้ชวนให้ดูสถานที่นัดบริเวณฟากฝั่งหนึ่งของวงเวียนน้ำพุใหญ่ปากทางเข้าสู่เขตเมืองเก่าเอ็กซ์-ซอง-โพรวองซ์ พร้อมบอกเวลานัดหมาย ก่อนปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเดินชอปปิงตามอัธยาศัย

กล่าวถึงเมืองเอ็กซ์แห่งนี้ ว่ากันว่าเริ่มมีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 15 เป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษาและการฟื้นฟูศิลปะในยุคเรเนสซองซ์ของฝรั่งเศส ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่เก่าแก่แต่หรูหรานั้นส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมยุคบารอค ศตวรรษที่ 17-18 มีการปรับปรุงพื้นที่ถนนหนทางให้ทันสมัยสวยงาม จนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญระดับต้นๆ ของโพรวองซ์ฝรั่งเศส ด้วยถนนที่ดูร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทางเท้ากว้างใหญ่ เดินสบายไม่เหมือนบ้านเรา ทว่าการเดินบนทางเท้าต้องระมัดระวังอย่างหนึ่งก็คือ จักรยาน เพราะจะมีเลนส์ของจักรยาน ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยอย่างเราอาจจะไม่คุ้นชิน เดินไม่ระวังอาจเป็นอันตรายได้

บรรยากาศที่นี่จะคล้ายกับปารีส จัตุรัสมีร้านอาหาร ร้านกาแฟให้นั่งชิลล์ ปล่อยให้โลกหมุนไปช้าๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนงดงาม จิบกาแฟหอมกรุ่นพูดคุยกันไปอย่างไม่ต้องรีบร้อน ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิ

นอกจากนั้นเมืองเอ็กซ์-ซอง-โพรวองซ์ ยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสที่ชื่อว่า ‘พอล เซซานน์’ (Paul Cezanne : 1839-1906) มีผลงานที่เขาเคยวาดมากมายก็คือทิวทัศน์ของเมืองเอ็กซ์ หากใครต้องการเดินตามรอยเท้าของศิลปินคนนี้ ไปขอแผนที่ได้จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมืองได้ ซึ่งทางเมืองจะทำป้ายทองเหลืองบอกถึงจุดต่างๆ ที่สำคัญเอาไว้

ความจริงก่อนที่ไกด์จะปล่อยตัวนักท่องเที่ยวแดนสยามไปเดินเล่นตามอัธยาศัย เขาพาเดินไปยัง จัตุรัสแปร์เซอร์ (Place des Precheurs) มีสถานที่สำคัญๆ เช่น โบสถ์มาเดอลีน (Eglise de la Madeleine) และศาลยุติธรรม (Palais de Justice) แถบนั้นมีสีสันของตลาดนัด และแผงขายสินค้าพื้นเมือง มีตั้งแต่ผักสด ผลไม้ น้ำผึ้ง ไส้กรอก มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก กระเทียม ไม้ดอกไม้ประดับ กุหลาบ ทานตะวัน ฯลฯ ไปจนถึงแผงขายของที่ระลึก เห็นแล้วนึกอยากซื้อดอกไม้สวยๆ มาปักแจกันที่บ้าน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ จึงทำได้อย่างเดียวก็คือแค่คิด

กลางจัตุรัสมีเสาโอเบสิลก์อียิปต์ตั้งอยู่เหนือน้ำพุ บนยอดปลายเสามีรูปปั้นเป็นรูปนกอินทรีกางปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนโปเลียน เมื่อครั้งหนีออกจากเกาะเอลบา ในการถูกจับเนรเทศครั้งแรก ใช้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางแล้วหลบหนีเข้าสู่กรุงปารีส สัญลักษณ์นี้จึงกลายเป็นเครื่องหมายเส้นทางของนโปเลียน โดยมาจากคำกล่าวของนโปเลียนเองที่ว่า “นกอินทรีจะบินจากยอดวิหารสู่ยอดวิหารจนกว่าจะถึงนอเตรอดามในปารีส”

ความจริงเมืองนี้มีความน่าสนใจมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา ตั้งอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่ตั้งแต่สมัยปี 1672 มีซากฟอสซิล และโครงกระดูกไดโนเสาร์ชนิดต่างๆ ที่ถูกค้นพบที่ภูเขาแซงต์วิกตัวร์ สถานที่น่าสนใจอย่าง วิหารแซงต์โซเวอร์ สร้างในศตวรรษที่ 5 ไหนจะมี ลาเตอเยร์ พอลเซซานน์ อันเป็นบ้านและห้องทำงานของ พอล เซซานน์ จิตรกรผู้เชี่ยวชาญด้านภาพวาดสีน้ำมัน ผลงานส่วนใหญ่เป็นภาพวาดวิวสวยงามในแคว้นโพรวองซ์

หากกลับมาเมืองเอ็กซ์อีกครั้งจะต้องพลาดไม่ได้ และมาให้ตรงกับช่วง ‘เทศกาลดนตรีเอ็กซ์’ ซึ่งจัดขึ้นตลอดเดือนกรกฎาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์เบ่งบานทั่วแคว้นโพรวองซ์ งานดังกล่าวจะดึงดูดเหล่าบรรดานักดนตรีคลาสสิค นักร้องโอเปร่า และนักบัลเล่ต์จากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมารวมตัวกัน เพื่อเปิดแสดงในโรงละคร และสถานที่สำคัญทั่วเมือง แม้แต่นักดนตรีสมัครเล่น และนักแสดงเปิดหมวกต่างๆ ยังมาสร้างสีสันกันทั่วเมืองอีกด้วย

แต่เพราะวันนั้นมีเวลาน้อยนิด ได้เดินชมเมืองรอบๆ และซื้อกระเป๋า Long Champ ครบตามออร์เดอร์แล้วรีบไปรวมตัวกันที่จุดนัดพบให้ทันเวลา เป็นอันเสร็จพิธีเยือนเมืองเอ็กซ์โดยสังเขป ระหว่างรอชาวคณะ เก็บภาพเล่นเป็นที่ระลึก จู่ๆ ก็มีชายผิวสีเดินมาแสดงความปรารถนาดี ด้วยการพูดว่า ‘ให้ผมช่วยถ่ายรูปคุณไหม...’ ปฏิเสธ ด้วยการขอบคุณ เพราะฝรั่งเศสมีข้อควรระวังอย่างหนึ่งก็คือ หากคุณปล่อยมือจากกล้องถ่ายรูปของคุณให้กับชายแปลกหน้า ทันใดที่กล้องส่งถึงมือ เขาจะก้าวเท้าออกวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว โดยมีกล้องของคุณติดมือไปด้วย (ฮา)

จากเมืองเก่า 'กอร์ด' สู่เมืองแสนสวย 'นีซ'

แม้จะห่วงหาอาลัยทุ่งดอกลาเวนเดอร์อันเป็นไฮไลต์ ณ โบสถ์แอ็บบีเดอซีนอคค์ ขนาดไหน จนถึงขนาดอยากจะเฝ้ารอจนดอกไม้ค่อยๆ ผลิบานจนครบทุกช่อ จนถึงเวลาเก็บเกี่ยว แต่ก็ไม่อาจจะทำอย่างที่คิดได้ รีบตื่นจากฝันแล้วพุ่งขึ้นรถบัสตามขบวนธงชาติไทย มุ่งหน้าไป เมืองกอร์ด (Gordes) เมืองเก่าแก่ที่มากไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ตั้งอยู่บนยอดเขาในแถบเทือกเขาลูแบรง (Luberon) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโพรวองซ์

ตัวเมืองถูกสร้างให้ลดหลั่นเรียงตัวลงมาตามแนวเขาลูแบรง ทันทีที่เดินทางมาถึง ทุกคนในทริปต่างอุทานออกมาเบาๆ พร้อมคว้ากล้องถ่ายรูป กดชัตเตอร์แบบไม่ยั้ง พวกเรามาถึงนี่ก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จึงเป็นช่วงที่งดงามไม่แพ้เวลาเช้าวันรุ่งของพรุ่งนี้

หลังจากเช็คอินเข้าที่พักแล้ว ไม่รอช้า คว้ากล้องถ่ายรูปคู่ใจ พร้อมกระเป๋าสตางค์เผื่อว่าจะได้ซื้อของถูกใจกลับมาเป็นที่ระลึก เวลานี้ของยุโรปแม้ฟ้ายังใส แดดยังจ้า ทว่าได้เวลาพักผ่อนชาวเมือง ต่างทยอยปิดร้านกลับไปพักผ่อน เราช่วงชิงเวลาที่มีอยู่น้อยนิดเข้าไปชอปปิง ซื้อน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิ้ล กับบัลซามิคทรัฟเฟิ้ล ไม่น่าเชื่อเลยว่าทันทีที่ซื้อเสร็จร้านก็ปิด เลยหมดโอกาสที่จะไปเดินซื้อของอีกต่อไป ได้แต่เดินชมเมืองเก็บภาพสวยๆ ก่อนจะกลับไป Dinner แสนโรแมนติก ชิมฝีมือ Michelin Stars ที่ภัตตาคาร Xavier Mathieu ในโรงแรมที่พักนั่นเอง

โรงแรมแห่งนี้มีชื่อว่า La Bastide de Gordes & Spa เป็นโรงแรมที่หรูที่สุดในเมืองกอร์ด ได้รับการแนะนำและการันตีโดย Travel Guru ระดับโลก อย่าง Conde Nast Traveller เพราะเป็นหนึ่งในโรงแรมที่สามารถชมทิวทัศน์ของเมืองกอร์ดได้งดงามที่สุด ก่อนวันรุ่งที่ต้องเช็คเอาท์ แล้วออกเดินทางไปชมความงามของเมือง ‘รุสซิลยอง’ (Roussillon) ซึ่งเป็นเมืองน่ารักบนเนินเขาที่มีอากาศดีตลอดทั้งปี

อาคารบ้านเรือนที่นี่สร้างลดหลั่นไปตามไหล่เขา ส่วนใหญ่อาคารบ้านเรือนจะเป็นสีแดง เพราะดินที่นี่มีสีแดงสวยงาม ทำให้บ้านเรือนมีสีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านการทำสีคุณภาพดีมาตั้งแต่สมัยโบราณอีกด้วย มีเวลาชมเมืองนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง จำต้องลาจากเพราะอาหารมื้อกลางวันรออยู่ที่ La Cabro D’or ภัตตาคารสุดหรูที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเชิงผา เป็นคฤหาสน์โพรวองซ์เก่าแก่หลังงาม ท่ามกลางโอเอซิสเขียวชอุ่ม การันตีความเป็นเลิศด้วยรางวัลมาตรฐานระดับโลกด้วยเช่นกัน อิ่มหมีพีมันกันแล้ว ออกเดินทางต่อไปยัง โบราณสถานเก่าแก่อีกแห่ง

เลส์โบซ์ เดอ โพรวองซ์ (Les Baux de Provence) เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทของชนชั้นสูงในยุคโบราณ ซึ่ง ‘เลส์โบซ์’ ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดของประเทศฝรั่งเศส ได้ชมความน่ารักของบ้านเมืองที่สร้างจากหินยุคกลางศตวรรษที่ 16-17 ที่ยังหลงเหลือความเป็นปราสาทเก่า โดยมีภาพวาดประกอบให้เรามองย้อนอดีตไปได้โดยง่าย

ระหว่างทางเดินมีร้านขายของต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย เรียกว่าเมืองนี้อยู่ได้ 1 วัน 1 คืนโดยไม่เบื่อเลย หากไปเยือนที่นี่อย่าลืมขึ้นไปชมวิวเมืองในมุมสูง มองเห็นบ้านเมืองเรียงรายสวยงาม โดยมีท้องทะเลสีน้ำเงินของเมดิเตอร์เรเนียนเป็นฉากหลัง ณ จุดชมวิวนี้มีชื่อว่า ‘ซาว์โต เด โบว์’ เปรียบเสมือนป้อมปราการยุคโบราณ อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอดีตอันยาวนานมาแล้ว

สุดท้ายทริปนี้เราได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางที่เมือง Nice เข้าพักยังโรงแรมหรูริมทะเล ชื่อว่า Le Negresco เป็นคฤหาสน์สไตล์ฝรั่งเศส ที่ได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็นเพชรเม็ดงามของนีซ ด้วยการตกแต่งประดับประดาอย่างประณีตงดงาม เช่น โคมไฟคริสตัลบาคาราขนาดใหญ่ จากศตวรรษที่ 19 สั่งทำโดยพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย และอื่นๆ อีกมากมาย ห้องพักแต่ละห้องมีสไตล์การตกแต่งที่แตกต่างกัน พวกเราสนุกสนานกับการไปเยี่ยมชมห้องต่างๆ ที่บรรดาเพื่อนร่วมทริปได้เข้าไปพัก อย่างเพลิดเพลิน

รุ่งเช้าค่อยเข้าไปชมความงามของเมืองนีซ ดูซิว่าเมืองนี้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยือนได้อย่างไร นั่นก็คือมีชื่อเสียงด้านบรรยากาศชายทะเลอันสวยงาม และมีอากาศที่บริสุทธิ์ นักท่องเที่ยวจึงนิยมมานั่งดื่มกาแฟตามร้านรวงต่างๆ ที่เรียงรายอย่างมากมายในเมือง แม้อากาศหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาว เมืองนี้ก็ยังคึกคักคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะมีเสน่ห์ในด้านศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่งดงามของอาคารบ้านเรือนในสไตล์อิตาลี เพราะว่าเมืองนี้อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอิตาลีนั่นเอง

ใครได้ไปเมืองนีซ อย่าลืมไปชิมอาหารที่ภัตตาคาร Aphrodite เพราะร้านนี้ได้รับรางวัลมาตรฐานโลกระดับ Michelin Star ด้วยเช่นกัน มีโอกาสได้ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมที่นี่เพราะมีเวลามากที่สุด นับว่าทริปนี้ปิดฉากลงอย่างสวยงาม อิ่มเอมครบทุกประการ จนคิดว่าน่าจะกลับไปเยือนโพรวองซ์อีกครั้ง ในฤดูดอกไม้สีม่วงผลิบาน.....

จนวันนี้หัวใจยังคงกรุ่นกลิ่นหอมโชยอ่อนของดอกลาเวนเดอร์ อย่างมิรู้ลืม