ศาลอุทธรณ์ยืนคุก11ปี'สมยศ'หมิ่นเบื้องสูง

ศาลอุทธรณ์ยืนคุก11ปี'สมยศ'หมิ่นเบื้องสูง

พิพากษาอุทธรณ์ยืนคุก11ปี"สมยศ พฤกษาเกษมสุข"อดีต บก. นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ตีพิมพ์บทความหมิ่นเบื้องสูง

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2962/54 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อายุ 53 ปี อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ( VOICE OF TUKSIN) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ตามฟ้องอัยการ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.54 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. - 15 มี.ค.53 จำเลย เป็น บก.นิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย เผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือน ก.พ. 2553 ที่พิมพ์บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น หน้าที่ 45 - 47 โดยเนื้อหาบทความสื่อ พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งไม่มีมูลความจริง และระหว่างวันที่ 1 - 15 มี.ค.53 เวลากลางวัน จำเลยยังจัดพิมพ์ จำหน่ายและเผยแพร่ นิตยสารเสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก มี.ค.53 บทความ คมความคิด ของจิตร พลจันทร์ เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 หน้าที่ 45-47 เนื้อหาสื่อ พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งไม่มีมูลความจริง เหตุเกิดที่แขวง-เขตวังทองหลาง กรุงเทพ ฯ และทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไทย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58,91,112 และขอให้นำโทษจำคุกคดีอาญาหมายเลขแดง อ.1078/2552 ที่หมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ซึ่งศาลอาญานี้ได้มีคำพิพากษาแล้ว มาบวกกับโทษจำคุกคดีนี้ด้วย จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่าเป็นเพียงลูกจ้างในนิตยสาร ได้รับค่าตอบแทน 25,000 บาทต่อเดือน และจำเลยไม่มีเจตนา ซึ่งนามปากกาการเขียนบทความ จิตร พลจันทร์ คือนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้เขียนบทความส่งมายังนิตยสารเป็นประจำและได้มีการตีพิมพ์หลายครั้ง โดยเมื่อจำเลยอ่านบทความแล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น และเป็นการกล่าวเตือนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงสถาบันเบื้องสูง

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ม.ค.56 เห็นว่า แม้ เนื้อหาในบทความทั้ง 2 ฉบับ ไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต และเมื่อนำเหตุการณ์มาเชื่อมโยงแล้ว สามารถระบุได้ว่าหมายถึง สถาบันเบื้องสูง จึงพิพากษาจำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี และให้นับโทษ 1 ปี คดีหมิ่นประมาท ฯ พล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุกจำเลย ทั้งสิ้น 11 ปี

ต่อมาจำเลย ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ประเด็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นบรรณาธิการ และขณะนั้น พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่บัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดในฐานะบรรณาธิการ ได้ถูกยกเลิกโดย พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 แล้ว ดังนั้นจำเลย ซึ่งเป็นเพียงบรรณาธิการ ไม่ใช่ผู้ประพันธ์บทความ จึงไม่ต้องรับผิด และบทความของผู้ประพันธ์ นามปากกา “ จิตร พลจันทร์” นั้นกล่าวถึงระบบอำมาตย์ มิใช่สถาบันเบื้องสูง

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ ได้บรรยายความผิดของจำเลยว่า ได้ตีพิมพ์ และจัดหน่ายนิตยสารที่บทความมีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน ซึ่งขณะนั้นปรากฏว่ามีจำเลยเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งบรรณาธิการ ซึ่งการกระทำที่มีการเผยแพร่จัดจำหน่ายดังกล่าวเป็นการกระทำผิดขอให้ลงโทษฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มิใช่การกล่าวหาให้ต้องรับผิดตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์โดยนำแบบเรียนประวัติศาสตร์ เอกสารที่อ้างอิงเนื้อหาจากพงศาวดาร มายื่นประกอบการพิจารณาอ้างว่าเนื้อหาในบทความเป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์และการปกครองในประวัติศาสตร์นั้น อัยการโจทก์ได้โต้แย้งว่าเอกสารดังกล่าวจำเลยไม่ได้นำมายื่นต่อสู้คดีตั้งแต่แรก จึงเป็นการอ้างเอกสารขึ้นมาใหม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการพิจารณาในศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นไปแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับพิจารณา

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ หรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้ว่า เนื้อหาในบทความเป็นการย้อนรอยถึงประวัติศาสตร์และระบบอำมาตย์ แต่คดีนี้อัยการโจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดความมั่นคงฯ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และข้าราชการสังกัดสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการบำนาญของหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งพยานดังกล่าวไม่เคยรู้จักหรือไม่เหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเมื่ออ่านบทความแล้วเข้าใจได้ทันทีว่า มีการเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงสถานการณ์ในอดีต แม้ไม่ได้มีการระบุชื่อชัดเจน แต่เมื่ออ่านบทประพันธ์ทั้งหมดแล้ว ทำให้ย้อนรอยถึงประวัติศาสตร์ช่วงการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นราชวงศ์จักรี ซึ่งบทความดังกล่าวมีเนื้อหาทำนองที่ไม่เชิดชู และเสียดสีสถาบัน ขณะเดียวกันการพิมพ์ตัวอักษรในบทความบางคำก็ได้ใช้ตัวดำ- หนา ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการสื่อความหมายยิ่งขึ้น ขณะที่เนื้อหาในบทความก็ขัดกับหลักพื้นฐานความรู้และเหตุผลตามประวัติศาสตร์ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยกระทำผิดมาตรา 112 รวม 2 กระทงๆ ละ 5 ปี ให้จำคุกจำเลย 10 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน และให้นับโทษ 1 ปี คดีหมิ่นประมาท ฯพล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุกจำเลย ทั้งสิ้น 11 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้นายปณิธาน บุตรชาย รวมทั้งภรรยาของนายสมยศ ไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา ขณะที่สมยศได้ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวมาจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษาเพียงลำพัง โดยนายสมยศ กล่าวสั้นๆ ว่า จะยื่นฎีกาต่อสู้คดีทั้งในข้อเท็จจริงและประเด็นข้อกฎหมายในการยื่นแบบเรียนด้านประวัติศาสตร์ ส่วนตัวเองเวลานี้ถูกคุมขังในเรือนจำมานาน 3 ปี 6 เดือนแล้ว ซึ่งตอนนี้ตนก็อายุ 53 ปีแล้วสุขภาพก็เป็นไปตามสภาพที่อยู่ในเรือนจำ