รัก...ไม่มีเงื่อนไข ‘วาระ มีชูธน’

รัก...ไม่มีเงื่อนไข ‘วาระ มีชูธน’

เริ่มต้นปีใหม่ มารู้จักคำว่า ‘รัก’ ไม่ใช่แค่ถูกรัก ต้องรู้จัก’รัก’คนอื่น รักอย่างเข้าใจและรู้จักการเป็นผู้ให้

เคยบ้างไหม...ไม่รู้จะทำยังไงกับลูกดื้อๆ ไม่ว่าจะว่ากล่าว ตักเตือน ตี ชมเชย หรือให้รางวัล ก็ไม่ได้ดีขึ้น...

เคยบ้างไหม...อยากบอกสามีว่า วันนี้ฉันอยากมีเซ็กส์กับเธอจังเลย แต่ไม่กล้า...

และเคยบ้างไหม...ที่คนรักจะคุยกันว่า ควรจะให้เงินพ่อแม่ฝ่ายชายและหญิงปีละเท่าไหร่ จะไปเยี่ยมพ่อแม่ปีละกี่ครั้ง ฯลฯ

..............

ว่ากันว่า ความสัมพันธ์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าเรื่องเซ็กส์ การเงิน และลูก ล้วนเชื่อมโยงกับเรื่องความรัก...

เริ่มต้นปีใหม่ คุยเรื่องรักๆ กับ ไลฟ์-วาระ มีชูธน ศิษยาภิบาล (นักเทศน์)ที่คริสตจักรเมืองไทย เปิด LIFE Centerสอนภาษาอังกฤษ โดยไม่คิดค่าเรียน และเดินทางไปสอนภาษาให้เด็กด้อยโอกาสที่จ.ร้อยเอ็ด ตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นเขาและรุ่นลูก

ตอนที่เขาเรียนจบปริญญาโทด้านคริสเตียนศึกษา จาก Asbury Theological Seminary อเมริกา เขากลับมาเป็นครูสอนโรงเรียนนานาชาติ และขึ้นเป็นผู้บริหารโรงเรียน

รวมๆ 15 ปีกับอาชีพครู จากน้้นลาออกมาทำงานเพื่อสังคม มีรายได้น้อยมาก และยังสอนภาษาอังกฤษต่อไป รวมถึงเป็นนักเทศน์และให้คำปรึกษาคู่รักก่อนแต่งงานในโบสถ์ เป็นวิทยากรรับเชิญ

่ล่าสุดเป็นกูรูเรื่องรัก บริษัท LIFEiS  โดยร่วมงานกับบอย โกสิยพงษ์ และนภ พรชำนิ ทำธุรกิิจเพื่อสังคม...

 

ทำไมตอนนี้เลือกที่จะทำงานเพื่อสังคมเต็มตัว

ผมทำงานรับใช้สังคมและพระเจ้า และช่วงหลังทำงานกับไลฟ์อีส เพราะผมรู้จักพี่บอยมานานสิบปี พวกเราทำงานเพื่อสังคมฟรีๆ สามปีก่อนเปิดบริษัท และเมื่อมีคนเห็นว่าเราทำงานเพื่อสังคมจริงๆ ก็มีคนอยากสนับสนุน ผมทำไลฟ์สดในเฟซบุ๊กLIFEiS ให้ข้อคิดเพื่อให้คนเปลี่ยนแปลงตัวเอง

คนส่วนใหญ่บอกว่า จะแก้ปัญหาสังคมต้องแก้เรื่องการศึกษา แต่คุณบอกว่า ต้องเริ่มที่ความรัก ?

ที่ผมเจาะจงเรื่องนี้ เพราะทุกปัญหามาจากครอบครัว สถาบันที่สำคัญที่สุดและอ่อนแอที่สุด คุณจะเอาการศึกษามาแก้ไม่ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน และไม่สามารถอยู่ด้วยกัน มันเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของปัญหาครอบครัว เพราะเด็กเรียนรู้ความรักจากพ่อแม่ ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ผมเองก็เป็นผู้ให้คำปรึกษาคู่แต่งงาน ซึ่งเป็นงานหนึ่งของศิษยาภิบาล และตอนเรียนปริญญาโทผมก็เรียนเรื่องนี้

      ในอเมริกามีคอร์สสำหรับให้คำปรึกษาคู่รักก่อนแต่งงาน เขาเรียกว่า Premarital Counseling พวกเขามาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่กับศิษยาภิบาลในโบสถ์ คนไทยน่าจะเรียนรู้เรื่องนี้ และไม่จำเป็นต้องเป็นคริสเตียน

อยากให้เล่าถึงชีวิตคู่ของคุณสักนิด ?

 ก่อนแต่งงาน เราเป็นแฟนกัน 12 ปี คุยกันเยอะ ผมเองก็เข้าคอร์สกับอาจารย์ในโบสถ์ แต่พอแต่งงานแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน คนเราเวลาเป็นแฟนกัน จะมีคู่รักสักกี่คู่คุยกันว่า ใครจะเป็นคนทำหมัน ,แต่งงานกันแล้วจะสามารถใช้เงินได้เท่าไหร่ โดยไม่ต้องบอกกล่าวซึ่งกันและกัน,จะเปิดบัญชีเงินฝากกี่บัญชี ใครเป็นผู้ถือเงิน ,แต่ละปีจะให้เงินพ่อแม่ทั้งฝ่ายชายและหญิงจำนวนเท่าไหร่, จะไปเยี่ยมพ่อแม่ปีละกี่ครั้ง ฯลฯ เรื่องแบบนี้คู่รักส่วนใหญ่จะไม่คุยกัน แต่จะคุยกันว่า จะมีลูกกี่คน ซื้อบ้านที่ไหน

เป็นนิสัยคนไทยหรือเปล่า

 เป็นนิสัยของคนทั้งโลก ผมมีีลิสต์คำถามเป็นร้อยๆ ข้อ ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเซ็กส์ซึ่งเป็นเรื่องที่คู่รักทะเลาะกันบ่อยมาก คนไทยจะไม่คุ้นเคยกับการคุยเรื่องเซ็กส์ แม้จะคุ้นเคยก็ยังมีคำถามอีกว่า เรื่องไหนทำได้ หรือเรื่องไหนทำไม่ได้ อาทิ  ผู้หญิงจะสะกิดให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนได้ไหม เมื่อทำแบบสอบถามพบว่า ผู้ชายเต็มใจ แต่ผู้หญิงไม่แสดงความเห็น เพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม หรือกรณีผู้ชายอยากมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แต่ผู้หญิงไม่พร้อม มีประจำเดือนบ้าง เหนื่อยบ้าง เมื่อไม่ตกลงกัน ทำให้เกิดปัญหา

ในเมืองไทยมีที่ปรึกษาด้านความรักแบบนี้ไหม

      ไม่มี อย่างมากก็ไปพบแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องทางกายภาพ แต่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ไม่พูดกัน โดยเฉพาะในสังคมไทย ผมจึงทำ Staying in Love เป็นการบุกเบิกวัฒนธรรมใหม่ LIFEiS เปิดคอร์สแบบนี้ไปสี่รอบ เต็มทุกรอบ แต่ปรากฎว่าคนไทยไม่ค่อยเข้าใจ บางคนบอกว่าแต่งงานมา 20 ปีเพิ่งรู้ว่าภรรยาตอบสนองต่อความรักแบบนี้ เพราะไม่เข้าใจภาษารัก 

เพราะสื่อสารด้วยภาษารักที่ต่างกัน? 

ภาษารักถูกจำแนกเป็น 5 ภาษา แต่ละคนมีภาษารักไม่เหมือนกัน ถ้าเราถูกเติมเต็มโดยภาษาที่เราเข้าใจ ชีวิตรักก็เต็ม อย่างภาษารักของผมคือการสัมผัส ภาษารักของภรรยาคือการบริการ เขาบอกรักผมด้วยการบริการทุกอย่าง ตั้งแต่เปลี่ยนหลอดไฟ ทำอาหาร เลี้ยงลูก ซักผ้า ผมจะน้อยใจมากที่เขาทำทุกอย่างทั่วบ้าน แต่ไม่กอดผม เธอก็น้อยใจที่ผมไม่เคยทำงานบ้านเลย พอผมเรียนรู้มากขึ้น ผมก็เลยบริการด้วยการล้างจาน ปรากฎว่าความรักดีขึ้น และทำให้เรามีแรงที่จะรักคนอื่นต่อ

เป็นที่ปรึกษาคู่รักต้องแนะนำอะไรบ้าง

นอกจากแบบทดสอบ ยังมีคำถามยากๆ ที่คู่รักไม่เคยคุยกันหรือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่อไม่เรียนรู้ ก็ทำให้ความสัมพันธ์มีปัญหามือที่สาม และการเป็นที่ปรึกษา ทำให้พวกเขารู้ว่า ถ้าวันหนึ่งพวกเขาทะเลาะกัน อย่างน้อยๆ ยังมีคนๆ หนึ่งที่รู้จักเขาทั้งคู่ ทำให้เขากล้าที่จะปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้กับเรา และทุกความสัมพันธ์มีความเสี่ยง คุณเคยสำรวจตัวเองไหม แต่งงานอยู่กินกันแค่เพื่อนร่วมห้อง หรืออยู่กันแบบลงลึกคุยกันได้ทุกเรื่อง มีหลายคู่อยู่กินกันจนแก่เฒ่า แต่ไม่มีความสุข ไม่คุยกัน

 

ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเปิดใจคุยกัน?

อาจเป็นวัฒนธรรมคนรุ่นเก่า แต่คนรุ่นใหม่เจอความผิวเผินเยอะ ทำให้โหยหาคนๆ หนึ่งที่จะคุยกันในเชิงลึก เวลาคนสองคนคบกันคุยกัน 7-8 ชั่วโมงไม่วางโทรศัพท์เลย เพราะเขาอยากลงลึกกับคนๆ นั้น แต่ก็ต้องมีความพอดี ถ้าเป็นวัยรุ่นจะลงลึกกับใครสักคน ก็ต้องตั้งค่าว่า ระหว่างเรื่องความรักกับการเรียน อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง 

สิ่งที่ที่ปรึกษาแบบผมพยายามทำ ก็คือ ทำให้คนมีความสัมพันธ์ที่มีความสุข  ความสัมพันธ์จึงเหมือนการเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่กำลังเลื่อนลง ถ้าเราหยุดเดินเมื่อไหร่ มันถอยหลังทันที เราต้องจ้ำเดิน ต้องขนขวย ต้องลงทุน 

คู่รักจำเป็นต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งแค่ไหน

คุณคิดว่า เวลาคนไทยแต่งงานกัน ต้องใช้เงินเท่าไหร่ อย่างน้อยๆ ประมาณห้าแสนบาท คนไทยยอมลงทุนกับงานแต่งงานวันเดียวจบ แต่การแต่งงานที่ใช้ชีวิตคู่ 40-50 ปีข้างหน้าไม่ลงทุน ขณะที่เราเข้ามหาวิทยาลัยเรียนสี่ปี หรือขับรถก็ยังต้องเรียน แล้วทำไมการใช้ชีวิตคู่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ลงทุน

แดน บราวน์ เขียนไว้ว่า ความสำเร็จในชีวิตคนเราประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์มาจากการที่คุณแต่งงานถูกคน แม้คุณจะร่ำรวยที่สุดในโลกหรือเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จ ถ้าชีวิตแต่งงานไม่ดี คุณก็ไม่มีความสุข 

แล้วคุณเลี้ยงลูกอย่างไร

โชคดีที่ผมและภรรยาเคยเรียนต่างประเทศ มีแนวคิดคล้ายกัน เราสองคนเชื่อในเรื่อง ลูกทำผิดต้องลงโทษ ตีบ้าง โดยลูกแต่ละคนลงวินัยคนละแบบ ลูกคนโตทำผิดต้องตี ถึงจะเข้าใจ ลูกคนเล็กทำผิดแค่มองหน้าก็ร้องไห้แล้ว 

เราเลี้ยงลูกแบบตีกรอบชัดเจน ถึงเวลาให้ตัดสินใจเอง ถ้าเขาตัดสินใจเดินออกนอกกรอบก็ลงโทษ เขาก็รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่พ่อแม่บางคู่ไม่เคยคุยก็จะคาดการณ์ไปโดยปริยายว่า คู่รักของเขาคงคิดเหมือนกัน คนละเรื่องเลย ก็เลยเป็นปัญหา

และผมเชื่อว่าลูกผม ก็ต้องได้ส่วนดีจากผมบ้าง ผมขับรถพาลูกไปสอนภาษาอังกฤษที่ร้อยเอ็ด ผมให้ลูกชาย 9 ขวบ และลูกสาว 11 ปี สอน A B C ... เด็กๆ ด้อยโอกาส ผมบอกลูกๆ เสมอว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถ พูดภาษาอังกฤษได้ ลูกต้องช่วยเหลือคนยากจน หรือเวลาผมเดินข้ามถนน แล้วผมเห็นขอทานไม่มีรองเท้า ผมใช้โอกาสนั้นถามเขาว่า อยากได้รองเท้าไหม ถ้าเขาบอกว่าอยากได้ ผมก็ถอดรองเท้าให้ แล้วเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน ลูกเห็นก็ถามว่า ทำไมพ่อต้องทำขนาดนั้น ผมก็บอกลูกว่า พ่อมีรองเท้าอีกหลายคู่ที่บ้าน ผมก็ได้ใช้ช่วงเวลานั้นสอนเขา

สอนลูกโดยทำให้เห็น?

ลูกไม่ได้ยินแค่คำพูดของพ่อ เขาได้เห็นชีวิตของปู่และพ่อ ทำให้ลูกเกิดความเข้าใจ เพราะการสอนด้วยวาจา คนจะจำได้ 5 เปอร์เซ็นต์ สอนด้วยการเขียนให้ดูคนจะจำได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการสอนที่ทำให้คนจำได้นานคือ ทำให้ดู และมากกว่านั้นคือ ให้เขาลองทำเอง ผมให้ลูกเก็บค่าขนมวันละยี่สิบบาท เพื่อเอาเงินเหล่านี้ไปช่วยคนยากจน เมื่อเขาลงมือทำเอง เขาก็จะรู้ว่ามีความสุขขนาดไหน

เวลาที่ลูกดื้อมาก คุณทำยังไง

ลูกสาวผมดื้อมาก ผมจะว่ากล่าวยังไงก็ไม่ฟัง ตีก็แล้ว ด่าก็แล้ว จ้างก็แล้ว ทำหมดทุกอย่างแล้ว ก็ยังมีปัญหา กระทั่งวันหนึ่งผมเงื้อมไม้จะตี ก็มีคำพูดหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ผมคุกเข่าลง กอดเขาแล้วร้องไห้  บอกเขาว่า “พ่อตีลูกไม่ได้อีกแล้ว พ่อรักลูก ไม่อยากเห็นลูกดื้อ พ่อไม่รู้จะทำยังไง ช่วยพ่อด้วย” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของลูกเลย เวลาที่เราบอกเขาว่า เรารักเขา เราแสดงความรักแบบไม่มีกรอบ

รักแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ?

ไม่มีคำพูดว่า “พ่อจะรักลูก...ถ้า”, “พ่อจะรักลูก...แต่ ” ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง ผมก็รักเขา และเราใช้สิ่งเหล่านี้กับเด็กนักเรียนที่ร้อยเอ็ด ไม่ว่าเขาจะเป็นเกย์ พ่อแม่ยากจน หย่าร้าง หรือดื้อ เราก็ยังขับรถไปสอนภาษาอังกฤษ และหวังว่า เขาจะรักคนอื่นได้เหมือนที่เรารักเขา เพราะพระเจ้าสอนให้เรารักคนอื่น

ได้ยินมาว่าคุณเองก็ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่ง?

ตอนที่ผมไปอเมริกา พ่อเอาเงิน 800 เหรียญใส่กระเป๋าให้ผม ผมมีแค่นั้น พี่ชายผมไปเรียนก่อน แล้วไปเจอผู้หญิงแก่ๆ อเมริกันคนหนึ่ง เธอถามถึงพ่อผม(ศจ.ดร.นันทชัย) เธอเคยมาเมืองไทย เคยฟังเรื่องราวของพ่อแม่ผมแล้วประทับใจ เธอเป็นคริสเตียน เป็นเศรษฐีทำธุรกิจรถโรงเรียน

พอเธอรู้ว่าผมไม่มีทุนเรียน เธอส่งเสียผมและคนในครอบครัวอีกสี่คนเรียนหนังสือ เธอหมดไปกว่ายี่สิบล้านบาท เธอส่งผมเรียนโดยมีข้อแม้ว่า เรียนจบแล้ว ห้ามแต่งงานกับผู้หญิงฝรั่งต้องกลับมาช่วยคนไทย ชีวิตผมก็เลยเจอสิ่งอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีอนาคตก็ได้เรียนหนังสือ 

และสิบปีที่แล้วผมมารู้จักพี่บอย โกสิยพงษ์ เขาชวนผมร้องเพลงออกอัลบั้ม ตอนนั้นผมเป็นครูสอนโรงเรียนนานาชาติ เป็นศิษยาภิบาลดูแลกลุ่มวัยรุ่นในโบสถ์ในวันอาทิตย์ วันธรรมดาก็ทำงาน

เป็นครูอยู่กี่ปี

15 ปี โดย 3 ปีแรกสอนพลศึกษา จนต่อมาเลื่อนเป็นผู้บริหารโรงเรียน แต่ในที่สุดผมก็ต้องลาออก ทั้งๆ ที่ไม่อยากออก เนื่องจากมีทั้งหนี้ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ

อะไรเป็นสาเหตุให้คุณลาออกจากงานประจำ

การช่วยเหลือสังคมและการรักคนอื่น มันอยู่ในชีวิตของเราอยู่แล้ว  เมื่อพระเจ้าเรียกผมออกมา พระองค์ก็ต้องมีหนทางช่วยผม สองปีแรกผมไม่มีรายได้ ผมแทบจะเลี้ยงครอบครัวไม่ได้เลย ตอนนั้นผมเปิดLIFE Center สอนภาษาอังกฤษที่คริสตจักรมหานคร(พหลโยธิน15)ให้น้องๆ ที่ด้อยโอกาสและคนทั่วไปเรียน เสียค่าเรียนชั่วโมงละ 66 บาท ทั้งคอร์ส 18ชั่วโมง 600 บาท สำหรับคนไม่มีฐานะบางทีไม่มีเงินให้ ส่วนคนมีฐานะก็พอจ่ายได้ 

โดยตอนนี้ผมเปิดให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีๆ อาศัยคนที่พอมีเงินช่วยบริจาค และอาสาสมัครช่วยสอน ส่วนผมก็สอนคัมภีร์ที่โบสถ์ด้วย จากที่เคยมีรายได้เยอะ อยากซื้อ อยากกินอะไรก็ได้ ตอนนี้ต้องอธิบายให้ลูกๆ เข้าใจว่าฐานะเราเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ผมมาทำคอร์สให้คำปรึกษาคู่รักก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสังคมร่วมกับ LIFEiS

เพราะพ่อแม่ผมสอนตลอดว่า ให้ลงทุนกับคนขาดโอกาส พ่อแม่ผมขับรถจากกรุงเทพฯไปร้อยเอ็ดมา 15 ปีออกทุกวันพฤหสับดีกลับวันเสาร์ เพื่อไปสอนภาษาอังกฤษ ผมเห็นชีวิตพ่อแม่ผมที่ลงทุนกับเด็กๆ ที่ไม่สามารถตอบแทนอะไรเราได้เลย 

อีกอย่างผมได้โอกาสจากผู้หญิงฝรั่งคนนั้นให้ผมเรียนหนังสือที่อเมริกา ผมก็อยากคืนให้สังคมและพระเจ้า เพราะตราบใดที่เราให้ชีวิตกับคนอื่น ก็จะมีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ ผมหวังว่าคนในประเทศไทยจะเห็นในสิ่งที่เราทำ แล้วอยากทำเพื่อคนอื่นบ้าง