อาสาสมัคร(ไม่) ซึมเศร้า
ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีเงินเดือน มีแต่คำว่า ‘เพื่อน’ และความจริงใจที่พวกเขามอบให้กับผู้ป่วย
หลายปีก่อน โรคซึมเศร้าคือเรื่องใหม่ที่ใครๆไม่รู้จัก… เป็นความใหม่ที่ใครๆไม่เข้าใจและไม่รู้เห็นถึงขนาดของปัญหา
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรคซึมเศร้าคืออาการป่วยที่ผู้คนได้ยินกันมากขึ้น รับรู้และตระหนักถึงการมีอยู่มากขึ้น แต่ถึงเช่นนั้นสำหรับคนธรรมดา การสื่อสารกับผู้ป่วยรอบข้างกลับอยู่บนความกลัวอยู่ดี และความไม่รู้เช่นนี้ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่เฉยๆ หลีกเลี่ยงสนทนากับผู้ป่วยโดยตรง
“ผมว่าทุกคนเคยได้ยินโรคนี้ แต่ไม่รู้ว่าควรสนทนากับเขาอย่างไร ควรจะแสดงความเห็นหรือปลอบใจแบบไหน เมื่อไม่แน่ใจจึงเลือกที่อยู่เฉยๆดีกว่า คิดว่าน่าจะอันตรายน้อยกว่า ไม่เชื่อลองไปเสิชกูเกิ้ลดูสิ มีแต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับการสื่อสารกับผู้ป่วยเต็มไปหมด เช่น 5 ประโยคที่ห้ามพูดกับคนเป็นโรคซึมเศร้า, คำอันตรายสำหรับคนป่วยซึมเศร้า, สิ่งที่คนใกล้ตัวไม่ควรทำกับผู้ป่วยและอีก ฯลฯ” พนักงานบริษัทคนหนึ่งให้ความเห็น เมื่อถามว่าเคยรู้จัก และเคยสื่อสารกับผู้ป่วยบ้างไหม
จากผู้ป่วยถึงผู้สอน
เมื่อราว 15-16 ปีก่อน ป้าหนู- รัชนี แมนเมธี ผู้ก่อตั้งเครือข่ายอาสาสมัคร ‘ความสุขจากโรคซึมเศร้า’ ก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ป่วย เธอเบื่อหน่าย หมดเรี่ยวแรง และร้ายถึงขนาดเคยฆ่าตัวตาย
“แต่เดิมเป็นครูสอนหนังสือ พื้นฐานเรามีความสุขในการสอนมากนะ แต่พอป่วยปุ๊บเราเหมือนตกเหว ความภูมิใจในตัวเองหมดไป มองอะไรก็เบื่อไปหมด ยืนสอนก็ยังจะหลับ รู้สึกง่วงมาก อยากนอนตลอดเวลา อาศัยห้องพักครูฟุบหลับ ถึงเวลาเพื่อนก็ปลุกไปสอน เป็นแบบนี้หลายเดือน คิดว่าตัวเองทำงานไม่ได้แล้วจึงเออรี่รีไทร์ออกมา
“การออกจากงานทำให้เคว้งคว้าง จนวันหนึ่งมีคนแนะนำให้ไปหาจิตแพทย์ ตอนแรกเราก็เชื่อ ไม่ไป ไม่เชื่อว่าตัวเองป่วย คิดว่าเราคงเหนื่อยเพราะนักเรียนดื้อ เรารังเกียจไปหมด อายเพื่อน กลัวเพื่อนรู้ กลัวเราจะเสียความน่าเชื่อถือ แต่ในที่สุดก็ลองไปดูสักครั้งเพราะทนการถูกชักชวนไม่ไหว จึงได้ไปรักษาที่แผนกจิตเวช ศิริราชพยาบาล เราก็เล่าความรู้สึกทุกอย่าง เล่าแล้วร้องไห้ จนกระทั่งหมอวินิจฉัยว่าเรามีอาการของโรคซึมเศร้าจริงๆ”
“วันนั้นเราคิดว่าสังคมไม่ยอมรับแน่ๆ รู้สึกน้อยใจ คิดทำไมเราถึงป่วยเป็นโรคนี้ แต่ก็ได้กำลังใจจากหมอ ได้ยามาทานสักระยะ ผ่านไปหลายเดือน อาการเริ่มดีขึ้น จนกระทั่งฟังวิทยุแล้วได้ยินว่าที่สมาคมสายใยครอบครัวเปิดสอนการรับมือกับโรคทางจิตเวช แต่เขาสอนผู้ดูแล เช่น สำหรับแม่ดูแลลูก พี่เลี้ยงดูแลผู้ป่วย เราเป็นผู้ป่วยเสียเองเขาไม่รับเข้าเรียน แต่ก็ตื้อเขา ตื้อจนสำเร็จ กระทั่งได้เข้าไปเรียนจริงๆ”
จุดเริ่มต้นของการเป็นอาสาสมัครเริ่มจากตรงนั้น รัชนี บอกว่า ระหว่างเรียนได้ครึ่งหลักสูตร เธอได้รับรู้ และเข้าใจได้ถึงสิ่งที่ตัวเองพบเจออยู่ได้เป็นอย่างดี ได้รู้ว่าอาการเกิดจากอะไร และการรับประทานยาในแต่ละวันเข้าไปช่วยอาการเธอได้อย่างไร
“พอจบปุ๊บ เขาก็เชิญให้เรามาร่วมสอน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรง เราก็สอนมาเรื่อยๆ เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าโรคของเราเส้นทางเดินเป็นอย่างไร ต้องรักษาอย่างไร ใช้ยาอย่างไร จิตบำบัดอย่างไร วันนั้นเราไม่กังวลแล้ว รู้สึกชีวิตกลับมาอีกครั้ง ก็กินยาไปเรื่อยๆ ติดต่อกันเป็นสิบๆปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังกินยาอยู่ เพราะอาการเราเป็นแบบเมเจอร์ คือปล่อยทิ้งไว้จะมีอาการป่วยซ้ำ”
แล้วทำไมผู้ป่วยอย่างเธอถึงมาเป็นอาสาสมัคร ?
รัชนี บอกว่า ตอนที่เธอป่วยอยู่ สิ่งที่ต้องการไม่ใช่หมอ แต่คือ ‘เพื่อน’ ที่ป่วยเหมือนกัน เข้าใจกัน และการมีเพื่อนร่วมทาง คอยแนะนำอยู่ข้างๆ นี้จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นมาก เมื่อสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นเธอจึงรวบรวมอาสาสมัครทั้งนักวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ กิดเป็น ‘เครือข่ายความสุขจากโรคซึมเศร้า’ เดินสายให้การอบรมแบบฟรีๆ ตามสถาบันศึกษา
เพื่อนคิด เพื่อนคุย
เครือข่ายฯ เน้นการสอนไปที่กลุ่มมัธยมต้น-ปลาย เนื่องจากมองว่าการฝักตัวของโรคเริ่มตั้งแต่คนวัยนี้ จึงต้องสอนให้เด็กรู้จักตัวเองตั้งแต่ต้นทาง สอนให้เขาสังเกตตัวเอง ว่าเริ่มเหงา เริ่มเศร้า เริ่มก้าวร้าว เริ่มเหนื่อยไม่อยากพบคน แบบนี้หรือไม่ และให้ลองปรึกษาเบื้องต้นกับผู้ปกครอง หรือครู อย่าปล่อยให้ถึงมือแพทย์เมื่อสายไป
“พอเราสอนในห้องประชุมเสร็จ ก็ปล่อยให้เด็กทยอยออกมา แล้วเชื่อไหมว่าในการบรรยายแต่ละครั้งจะมีเด็กเดินเข้ามา แล้วบอกว่า “ป้า หนูมีอาการแบบที่ป้าว่าเลย” คือเขารู้สึกเบื่อ รู้สึกเศร้ากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนรบกวนชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องให้เวลาคุยกับเขา แนะนำเขา เพราะโรคนี้การคุยเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเรียนรู้กับโรคก่อน และการรับมือกับมันเป็นอย่างไร”
สำหรับสิ่งที่ไม่ควรทำกับผู้ป่วยนั้นก็ไมได้ซับซ้อนอย่างที่คิด รัชนี มองว่า อย่ากลัวที่จะพูดคุย สิ่งที่ไม่ควรทำมีเพียงการพูดให้กำลังใจแบบส่งๆ เช่น “สู้ๆนะ”, “อย่าท้อ ต้องผ่านไปให้ได้” หรือมองว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้ ไม่ชวนพูดคุยแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ควรว่าเขาเป็นคนขี้เกียจ พูดกดดัน หรือเมินเฉยใส่ แต่ควรให้กำลังใจด้วยวิธีการรับฟังปัญหา คอยสังเกตพฤติกรรม เนื่องจากคนเป็นโรคซึมเศร้ามีความเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวเอง
“เรารู้นิสัยของเพื่อน ต้องหาบรรยากาศที่เหมาะสมในการพูดคุย คนที่ทุกข์เขาอยากเล่าโดยธรรมชาติ ระหว่างนั้นเราก็ต้องสังเกตว่าจะฆ่าตัวตายไหม ถามอย่างมิตรภาพ คนที่ฆ่าตัวตายร้อยละ 80 อยากจะเล่าอยู่แล้ว และระหว่างที่เล่าสติก็จะค่อยๆกลับมา เราก็เขี่ย ให้ถูกประเด็น เช่น หากเขาบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว แม่ไม่สนใจ เราก็ประเมินได้ว่าเขา ผูกพันกับแม่ เราเลยลองถามว่า “ถ้าเธอไม่อยู่ แม่จะอยู่กับใคร” นี่คือการสะกิด โดยไม่ต้องไปต่อว่า ทำให้เขาได้คิดว่าแม่คงเสียใจถ้าเขาไม่อยู่แล้ว หลักคือเขาจะอยากมีชีวิตถ้าเขาเป็นผู้ให้”
อย่าลืมว่าปัญหาและอาการของโรคที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งปัญหาของผู้ป่วยอาจมาจากเรื่องทั่วไป ที่คนภายนอกไม่มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ หรืออาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ซึ่งความคิดอยากตาย ไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคน แต่อารมณ์และความคิดที่เปลี่ยนแปลงจากโรคซึมเศร้า อาจเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอยากพ้นจากปัญหา ความทุกข์ หรือสภาพแวดล้อมที่เผชิญอยู่
อาสาสมัครฟูลไทม์
ทุกวันนี้เครือข่ายฯ เป็นการรวมตัวของผู้มีจิตอาสาที่อยากทำงานกับผู้ป่วยจิตเวช พวกเขาเปิดรับอาสาสมัครและได้แนวร่วมทุกๆครั้งหลังจากการบรรยาย การไปเปิดนิทรรศการยังที่ต่างๆ เช่น วันนี้ที่เราพบเจอพวกเขาในงานสมัชชาสุขภาพครั้งที่1
ไม่จำเป็นต้องมีทักษะหรือประสบการณ์ใดมาก่อน ขอแค่เพียงมีใจ จากนั้นจะเป็นการทำงานแบบเรียนรู้กันไป เริ่มตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องวิธีการสื่อสาร’ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ซึ่งต้องมีเทคนิคในการพูดคุย ต้องเข้าใจอารมณ์ของผู้ป่วย เช่น ช่วงใดมีอารมณ์รุนแรงหรืออารมณ์ถดถอย
พัชรินทร์ รักเดช อดีตนักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการพิเศษ บอกว่า หลังออกจากราชการเธอต้องการใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์ และกลุ่มคนที่เป็นหนึ่งในผู้ด้อยโอกาสในความเห็นเธอคือผู้ป่วยทางจิตเวช นั่นเพราะพวกเขาไม่ค่อยได้รับความสนใจ หรือไม่ค่อยมีใครที่จะเข้าไปดูแล
“พวกเขาไมได้ขาดโอกาสเพราะยากจนนะ แต่ขาดโอกาสเพราะไม่ค่อยมีคนทำงานกับคนกลุ่มนี้ อาจจะมองว่ายาก หรือต้องใช้ความอดทนสูง”
เราเคยทำงานวิชาการ มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็เอาความรู้ตรงนี้มาใช้ เริ่มจากไปเป็นวิทยากรที่โรงพยาบาลศรีธัญญา แต่พอมาทำงานจริงๆ ก็พบความแตกต่าง เช่น เราเคยสอนพยาบาล บุคลากรแพทย์ ส่วนใหญ่จะเข้าใจเร็ว เรียนรู้ง่าย แต่กับมาสอนผู้ป่วยจิตเวชมันเหมือนอีกโลก คือเขาไม่สามารถจะรับข้อมูลได้ บางคนป่วนตลอดเวลา ไม่ยอมนั่ง จูนกันไม่ได้ จึงต้องเรียนรู้ว่าเราใช้เครื่องมืออะไรได้บ้าง เช่น การพูดคุย การเล่นเกม และศึกษาเพิ่มเติมว่าอะไรคือลักษณะความแตกต่างของจิตเวชในแต่ละโรค เช่นอะไรคือซึมเศร้า อะไรคือไบโพลาร์ แล้วฝึกตัวเองให้มีสติ บางที เขาอาจจะไม่เชื่อเราในทันที เราต้องไม่คาดหวังแล้วให้ข้อมูลเขา”
เกศมาศ แผ้วสกุล ซึ่งเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์ จากอเมริกา เล่าว่า ตัวเองป่วยเป็นไบโพลาร์มามากกว่า 15 ปี และร้ายแรงขึ้น จนกระทั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ จนต้องออกจากงาน
“เวลาเรามีความสุขก็จะดีใจสุดขีด แต่พอมีความทุกข์ก็จะเศร้ามาก มีช่วงหนึ่งเปลี่ยนงานบ่อยมาก เปลี่ยนทุกๆ 3เดือน เวลาเราได้งานตำแหน่งดีๆ เพราะเขาเห็นว่าเราการศึกษาสูง เขาก็จะคาดหวังว่าเราต้องทำแบบโน้น แบบนี้ให้ได้ แต่พอเราป่วยเราก็จะควบคุมตัวเองไมได้ ทำงานไมได้ บางทีหายไปชอปปิ้งเป็นวันๆ ใช้การซื้อบำบัดความเครียด สุดท้ายจึงต้องหยุดทำงาน แล้วมารักษาตัวอย่างเต็มเวลา พอมีโอกาสจึงทำงานอาสาสมัครเพราะคิดว่าประสบการณ์ของเราน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ จึงเลือกจะแชร์ออกมา และปัจจุบันรู้สึกมีความสุขมากนะ ได้ทำประโยชน์ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า” ผู้ป่วยไบโพลาร์ที่รักษาและใช้ชีวิตได้อย่างปกติกล่าว
สำหรับโรคซึมเศร้านั้น กรมสุขภาพจิต เคยระบุว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 3 หรือมีประมาณ 1.5 ล้านคน แต่เข้าถึงการรักษายอดสะสมจนถึงขณะนี้เกือบร้อยละ 59 อีกร้อยละ41 ยังไม่ได้รับการดูแลรักษา ซึ่งภาวะซึมเศร้านี้จัดเป็นความเจ็บป่วย ไม่ใช่คนมีจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่เป็นจะมีความรู้สึกไม่สบายใจ เซ็ง ทุกข์ใจ เศร้า ท้อแท้ซึม หงอย เบื่อ ไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไร หรือทำอะไรก็ไม่สนุกเพลิดเพลินเหมือนเดิม
ผู้ที่มีอาการเกือบทั้งวันและเป็นติดต่อกันจนถึง 2 สัปดาห์ จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้ารับการรักษาโดยการกินยาควบคุมสารสื่อประสาทให้ทำงานเป็นปกติ และเมื่ออาการเข้าสู่สภาวะปกติดีแล้ว สามารถดูแลตัวเองต่อโดยวิธีการอื่นๆได้
สนใจรายละเอียดของเครือข่ายความสุขจากโรคซึมเศร้าสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊ค ‘เครือข่ายความสุขจากโรคซึมเศร้า’