Oeschinensee / Harder Kulm / Schynige Platte ระหว่างทะเลสาบและภูเขา คือสวิสที่เรารัก
นอน Interlaken ขึ้นยอดเขาในเขต Jungfrau ทิวทัศน์ระหว่างทะเลสาบและภูเขาสูง ฝากบางสิ่งไว้ในใจเสมอ
หลังจากทริปทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เราอยู่เที่ยวต่ออีก 2 วัน เป้าหมายก็คือการไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง Lauterbrunnen หมู่บ้านน้อยในหุบเขาลึกที่มีน้ำตกใหญ่น้อยถึง 72 สาย
แต่การเดินทางนั้น สิ่งที่แน่นอนก็คือสิ่งที่ไม่แน่นอน จุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจ อาจทำให้เราไปเจออย่างอื่นที่ประทับใจยิ่งกว่าก็ได้
แยกย้ายกับคณะทำงานที่เมืองเจนีวาแล้ว เมื่อเรามีจุดหมายอยู่ที่เลาเทอร์บรุนเนน - Lauterbrunnen จึงเลือกพักที่อินเทอร์ลาเคน - Interlaken ระหว่างทางเลือกแวะเออชิเนนซี - Oeschinensee หรือ Oeschinen Lake ก่อน เพราะมีคนแนะนำมา
การไปเออชิเนนซีนั้นแสนง่าย เพียงป้อนปลายทางที่สถานี Kandersteg ในแอพ SBB Mobile ก็จะรายงานออกมาหมดว่าต้องขึ้นรถไฟต่อที่ไหนบ้าง จากสถานีเดินไปขึ้นเคเบิลคาร์เกือบ 1 กม. แต่ไม่ใช่ทางที่ไกลเลย เพราะระหว่างทางคือหมู่บ้านเล็กๆ แสนน่ารัก
เป็นสวิสในภาพฝัน คือมีทั้งเนินหญ้ากว้างเขียวขจี วัวตัวสีขาวดำ บ้านไม้แบบสวิสชาเล่ต์ โบสถ์เก่าแก่ ธารน้ำขนาดใหญ่ที่น้ำจากเทือกเขาละลายลงมาเป็นสีฟ้าอ่อน
Oeschinensee ทะเลสาบงามที่เข้าถึงง่าย
เราไปถึงเกือบบ่าย 3 โมง แดดแรงจนจางสีทุกสิ่งให้ซีดลง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังสวยอยู่ จากสถานีเคเบิลคาร์เดินไปอีก 25 นาที ก็ถึงเออชิเนนซี ทะเลสาบกลางหุบเขาแวดล้อมด้วยป่าสน
เออชิเนนซีอยู่ในเขตจุงเฟราซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ หากใครมีเวลามากพอ ก็มีเส้นทางไฮกิ้งให้เดินขึ้นไปในป่าสน อาจได้มุมถ่ายรูปที่สวยแปลกตากว่าทุกคน แต่เฉพาะทะเลสาบก็ทำให้เราหายเหนื่อย หลังจากที่แบกแบคแพค (หนัก 8 – 9 กก.) เดินทางจนเมื่อยไหล่ ปลดเป้วางยืดตัวสูดอากาศสดชื่นกลางหุบเขา แดดแรงจัด อุณหภูมิ 15 องศา เย็นกำลังดี อยู่กลางแดดได้สบายไม่ต้องใส่แจ๊กเก็ต แต่ถ้าเข้าที่ร่มก็หนาวอยู่เหมือนกันนะ
เพราะเส้นทางเดินง่าย จึงเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เด็กจิ๋วๆ 2-3 ขวบวิ่งกันปร๋อ ผู้สูงวัยก็เดินสบาย วีลแชร์ก็มาได้ จึงเห็นผู้คน ครอบครัว เพื่อนฝูง คู่รัก และสุนัข มาใช้เวลากันเพลิดเพลิน นอกจากนั่งชมวิว ถ่ายรูป ปิกนิกริมทะเลสาบแล้ว ยังมีบริการเรือให้เช่า หรือจะว่ายน้ำในทะเลสาบก็ได้
ในบรรดากิจกรรมทั้งหมด เราอยากพายเรือเล่นที่สุด เพราะอยากลอยอยู่กลางทะเลสาบ แหงนหน้าไปเห็นภูเขาตระหง่าน คงให้ความรู้สึกที่พิเศษต่างจากยืนชมอยู่บนฝั่ง แต่เพราะมาคนเดียว พายเรือไม่เป็น และคิวเช่าเรือก็ยาว เลยขอนั่งนิ่งๆ ชมวิวรับลมก็มีความสุขแล้ว
ท่ามกลางธรรมชาติงดงาม เวลามักจะผ่านไปเร็ว รู้ตัวอีกทีก็เลย 4 โมงเย็น เคเบิลคาร์เที่ยวสุดท้ายมีถึง 5 โมงเย็น ต้องรีบกลับแล้ว ขากลับลงจากเขาก็ได้ยินเสียงระฆังโบสถ์ดังมาพร้อมแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เปล่งรัศมีลอดเมฆออกมาเป็นลำ ขณะนั้นเหมือนเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เราคิดเอาเองว่าธรรมชาติคงอวยพรให้เราเที่ยวอย่างมีความสุข ในเวลาไม่กี่วันนี้
มาถึงสถานี Interlaken-West ก็เย็นพอดี เมฆหนาฟ้าครึ้ม เราขึ้นรถบัสผิดทิศ หาทางนั่งย้อนกลับ แต่รถบัสที่มาเป็นเวลานั้น ต้องรอนาน เดินไปก็ถึงพอกัน จึงถือโอกาสเดินเล่นอินเทอร์ลาเคนฝั่งตะวันตก ความที่เพิ่งเคยมาอินเทอร์ลาเคนเป็นครั้งแรก ก็ต้องนับว่าผิดคาดอยู่มาก เราไม่ได้อ่านรีวิวใดๆ เกี่ยวอินเทอร์ลาเคน เลยไม่รู้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวจ๋ามาก เต็มไปด้วยร้านรวงเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย บรรยากาศผิดกับเมืองธุรกิจอย่างเจนีวา หรือหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาที่เพิ่งไปมาในทริปทำงาน เป็นความรู้สึกออกจะผิดหวังนิดๆ
แต่เมื่อมองทะลุร้านรวงออกไป เมืองก็ยังงดงาม โดยเฉพาะช่วงที่เป็นสะพานข้ามธารน้ำ วิวก็ชวนตะลึงอยู่ดี อีกวันเราได้ไปฝั่งตะวันออก ซึ่งก็มีบรรยากาศความเป็นเมืองท่องเที่ยวอบอวล เพราะเป็นเมืองพักผ่อนยอดนิยมมาตั้งแต่อดีตย้อนไปได้เป็น 200 กว่าปีก่อน ฝั่งนี้มีเป็นโซนเมืองเก่า มีโบสถ์ มีคฤหาสน์โบราณคงความขรึมขลัง รวมถึงโรงแรมสไตล์สวิสชาเล่ต์อายุร่วมร้อยปี คอยฉายเสน่ห์แบบเดิมๆ ออกมาเอาชนะสิ่งใหม่ที่รกรุงรังได้
Harder Kulm ณ จุดสูงสุดของอินเทอร์ลาเคน
เพราะเป็นเมืองที่อยู่ใจกลางระหว่าง 2 ทะเลสาบ และอยู่กลางหุบเขา จึงเหมาะสำหรับนอนพักแล้วจะเลือกไปเที่ยวภูเขาขึ้นยอดเขาต่างๆ ที่มีอยู่มากมายได้สะดวก สำหรับคนที่เวลาน้อย และตัดสินใจไม่ถูก ก็นอนดูแผนที่อยู่ค่อนคืนว่าจะไปไหนดี มีคนแนะนำมามากมาย จะเป็นจุงเฟราที่ใครๆ ก็ต้องไป หรือที่ไหนดี เรามีเวลา 2 วันในอินเทอร์ลาเคน คิดว่าจะขึ้นยอดเขาสัก 2 ยอด 1 วัน วันต่อมาจะไปกินอาหารเช้าที่เลาเทอร์บรุนเนน และขึ้นยอดเขาอีกสักหนึ่งยอด ก่อนจะไปซูริคในช่วงบ่าย น่าจะไหวอยู่
กางแผนที่ ดูระยะทาง จู่ๆ เราก็เลือกฮาร์เดอร์ คลุม - Harder Kulm ซึ่งไม่ได้มีใครแนะนำมาเลย แต่จากชื่อที่ไม่เคยได้ยิน คำที่ว่าเป็นจุดชมวิวสูงสุดของอินเทอร์ลาเคน และความใกล้ก็ทำให้เราตัดสินใจไปที่นี่ในตอนเช้า นั่งรถบัสจากหน้าที่พักไปลงสถานี Interlaken-ost แล้วเดินไปขึ้นรถรางที่อยู่ห่างไปราว 300 เมตร ข้างๆ สถานีรถราง มีทางเทรลให้เดินขึ้นได้ด้วย ป้ายบอกว่าใช้เวลา 2.30 ชั่วโมง ด้วยความที่เวลาจำกัด สายเดินอย่างเราขอขึ้นรถรางดีกว่า แล้วก็เป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะรถรางนี่ชันมากทีเดียว และใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะถึงยอด
ฮาร์เดอร์ คลุมเป็นสถานที่ยอดฮิต นักท่องเที่ยวหนาแน่นตั้งแต่บนรถรางจนมาถึงยอด จุดชมวิวที่นี่เป็นระเบียงยื่นไปจากหน้าผา เปิดเป็นพื้นกระจกบางส่วน จุดเด่นของที่นี่คือได้เห็นมุมสูงกึ่งกลางระหว่างทะเลสาบ Thun กับ Brienz
เราไปถึงที่นั่นราว 10 โมงเช้า ไม่แน่ใจว่าเป็นแสงที่กำลังจะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงหรือเปล่า ไม่ว่าสายหรือบ่าย แสงอาทิตย์จะจัดจ้าจนขาวไปหมด มองผ่านแว่นกันแดดที่ตัดแสงขาวออกไป ทะเลสาบจะเป็นสีฟ้าจัด ใบไม้ก็เขียวชุ่ม แต่เมื่อถอดแว่นออกเก็บภาพมาก็ได้ภาพสีซีด แต่เราขอไม่ปรับแสงในภาพ เพราะนั่นคือความจริงที่เราได้ไปเห็นมา
นอกจากจุดที่คนรุมถ่ายรูป ก็ยังมีมุมสงบให้นั่งเล่น เรานั่งหย่อนใจมองภูเขาสูงใหญ่ แม้ไร้วิวทะเลสาบแต่ให้ความสุขสงบ การอยู่นิ่งๆ หยุดคิด ปล่อยให้ทุกสิ่งเคลื่อนไหวไป เพียงระยะเวลาไม่นาน ก็เหมือนได้ชาร์จพลังกลับเข้ามา หลังจากวิ่งวุ่นเดินทางทำงานอยู่หลายวัน
แต่บ่ายนี้ก็ต้องวิ่งวุ่นต่อ เพราะเอาเข้าจริงระหว่างนั่งรถรางลงจากฮาร์เดอร์ คลุม เรายังตัดสินใจไม่ได้แน่ชัดเลยว่าจะไปยอดเขาไหนต่อดี แต่นึกถึงที่เพื่อนสาวคนหนึ่งแนะนำมา เราค่อนข้างเชื่อในรสนิยมของเธอคนนี้ จึงตัดสินใจไปที่นี่แล้วกัน ชนีเก้ แพล็ตเต้- Schynige Platte
Schynige Platte ที่สุดแห่งความสวิส
ชนีเก้ แพล็ตเต้ คือที่สุดแห่งความเป็นสวิส ในคู่มือเขียนไว้อย่างนั้น เป็นหนึ่งในยอดเขาที่ควรไปเยือน เรายังนึกไม่ออกว่าที่สุดแห่งความเป็นสวิสนั้นเป็นยังไง จนกระทั่งขึ้นรถไฟขบวน Schynige Platte ไปแล้วนั่นแหละจึงได้รู้
การเดินทางให้นั่งรถไฟ Bernese Oberland Railway ไปลงสถานี Wilderswil ซึ่งอยู่ถัดจากสถานี Interlaken-Ost เพียง 1 สถานี ขบวนรถไฟขึ้นชนีเก้ แพล็ตเต้ออกทุกๆ 40 นาที เป็นรถไฟ Cog Wheel แบบโบราณ ซึ่งคงรูปแบบไว้มาตั้งแต่ยุคแรกของ Schynige Platte Railway ซึ่งสร้างเสร็จในปี 1893 ใช้เวลาขึ้นเขาระยะทาง 7.5 กม. เกือบ 1 ชั่วโมง
ระหว่างทางขึ้นเขาก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่าที่นี่คือที่สุดแห่งความเป็นสวิสแบบดั้งเดิมจริงๆ เพราะวิวค่อยๆ ทวีความงามขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้เห็นทุกอย่างเท่าที่เวลาพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้วจะนึกออก ตั้งแต่เนินหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ ฝูงวัวนม ป่าสน หุบเขา ทะเลสาบ วิวภูเขายอดหิมะ เห็นแล้วตื่นเต้นไปตลอดทาง
ชะนีเก้ แพล็ตเต้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อมาตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อน โดยเริ่มต้นจากอินเทอร์ลาเคนซึ่งเป็นเมืองตากอากาศของเหล่าเศรษฐี ที่ชอบไลฟ์สไตล์ผจญภัย จากการเดินขึ้นเขาก็เริ่มก่อสร้างรถจักรไอน้ำขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศบนภูเขาสูง
บนนี้มี Alpine Garden สวนพฤกษศาสตร์กลางแจ้ง ให้ความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์บนเทือกเขาแอลป์ที่อนุรักษ์ไว้ เพราะการมาถึงของอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนม ก็มีส่วนทำลายพืชดั้งเดิมบนเทือกเขาไปเหมือนกัน จึงเกิดการอนุรักษ์พืชอัลไพน์ให้กลับมา
ตรงนี้น่าจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ที่จริงนอกจากพืชในเขตสวนพฤกษศาสตร์แล้ว เนินหญ้าบนชนีเก้ แพล็ตเต้เองก็ถือว่าเป็นจุดที่มาชมดอกไม้บนเทือกเขาเช่นกัน แต่ดอกไม้จะบานสะพรั่งในช่วงฤดูร้อน ราวเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม เราไปในช่วงกันยายน ก็ได้เห็นอยู่ไม่กี่ดอกเท่านั้น
บางคนอาจเดินชมวิวอยู่ไม่ไกลจากบริเวณสถานี หรือไปนั่งรับประทานอาหารชมวิวในร้านอาหาร แต่สำหรับคนชอบเดิน และอยากดื่มด่ำบรรยากาศบนภูเขาหลายๆ มุม ขอแนะนำให้เดินเล่นสักหน่อย มีป้ายแนะนำเส้นทางเทรลตั้งแต่ 50 นาที ไปจนถึง 5 ชั่วโมง แบ่งเส้นทางเป็นป้ายสีต่างๆ ให้คอยสังเกต
จริงๆ เราตั้งใจเดินแค่ 50 นาที แต่พอได้เดินก็หยุดยาก จากเส้นทางสีชมพู ก็ไปต่อกับเส้นทางสีเหลือง ที่จริงจะเดินทางไหนก็ได้ เพราะเส้นทางบนเขานั้นชัด มองเห็นและเชื่อมกันหมด ไม่มีป่าปิดเส้นทาง ทางก็เดินง่าย ค่อนข้างราบ มีเนินขึ้นลงบางจุดซึ่งไม่ชัน แต่ควรใส่รองเท้าให้เหมาะ เพราะทางเป็นทางดินทางหินกรวด รองเท้าพื้นบางหรือไม่มีดอกอาจเจ็บเท้าได้
เป็นการเดินที่เพลิดเพลินมาก ยิ่งเดินออกไปไกลวิวก็ยิ่งเปลี่ยน ทั้งการเดินเลียบขอบอยู่ในเวิ้งแอ่งภูเขา จนไปเจอริมผาที่มองลงไปเห็นตัวเมืองอินเทอร์ลาเคน ที่อยู่ระหว่างทะเลสาบ Thun และทะเลสาบ Brienz ให้สีฟ้าสดงดงาม จนต้องหยุดนั่งพัก ใช้เวลาซึมซับธรรมชาติสวยจับใจแบบที่ไม่ได้เห็นในชีวิตประจำวัน บนเนินเขาที่แดดดีและลมแรง เราขอเอนกายสักครู่ ให้เวลาหมุนเคลื่อนไป แต่เราขอหยุดใจเราไว้ชั่วคราวตรงนี้
ลุกขึ้นมา ชั่งใจว่าจะเดินต่อหรือย้อนกลับทางเดิม เราเลือกไปต่อ ฉากที่เห็นตรงหน้ากลายเป็นวิวของเทือกเขายอดหิมะที่มีลายสีขาวสลับกับสีดินดูสวยงามน่าพิศวง มองไปไกลๆ ก็เห็นเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนดูเวิ้งว้าง
ทางหินกรวดเล็กๆ เริ่มกลายเป็นหินลอยก้อนใหญ่ขึ้น จากที่คิดว่าจะเดินสัก 1 ชั่วโมง แต่ความอยากรู้ว่าหากเดินไปเรื่อยๆ ทางข้างหน้าจะให้วิวแบบไหน เลยเดินไป 2 ชั่วโมงกว่า ถ้ามาแต่เช้าและมีเวลามากกว่านี้ เราคงเลือกอยู่ที่นี่ไปทั้งวัน
ขากลับเดินย้อนลงมาตรงเนินหญ้าที่อยู่ตรงกลางแอ่ง ทุ่งหญ้านี้แหละ หากเป็นหน้าร้อนจะมีดอกไม้เล็กๆ ผลิบาน แต่ในเวลานี้ดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาประปรายจึงกลายเป็นจุดเด่นดึงสายตา
เนินหญ้านี้ก็มีเส้นทางเดินชัดเจน คาดว่าจะเดินกันมาตั้งแต่โบราณ ระหว่างทางมีทางแยกออกไปเป็นระยะ ชวนให้เดินไปชมวิวตรงนั้นตรงนี้ เราอยากจะเลี้ยวออกจากทางหลักเพื่อไปต่อว่าที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้นมีอะไร แต่เวลาใกล้หมดแล้ว
ทิวทัศน์สูงตระหง่านของภูเขา ความงดงามของธรรมชาติโดยรอบทำให้ความรู้สึกอ่อนไหว เราอดนึกเปรียบเทียบกับชีวิตไม่ได้ หลายครั้งที่เราเจอทางแยก ทางที่ไม่เคยไป และอยากรู้ใจจะขาดว่าหากเลี้ยวไปจะมีสิ่งไหนรอเราอยู่ แต่การเลือกของเราไม่เคยง่าย ข้อจำกัดให้เราแข็งใจเดินต่อในเส้นทางหลักที่คิดเอาเองว่าจะให้ผลลัพธ์อันแน่นอน เราไม่เคยรู้ว่าการตัดสินใจของเรานั้นถูกหรือไม่ หรือต่อให้เป็นเส้นทางหลักจะให้ผลอย่างที่เราคาดหวังไหม?
แต่นี่ก็เป็นปกติของชีวิตมนุษย์ ที่เราก็มีชีวิตนี้อยู่ชีวิตเดียว ไม่เคยมีชีวิตอื่นให้เปรียบเทียบ
คิดแล้วก็เบือนหน้าออกจากทางแยก ก้าวเท้าต่อไปในทางหลักกลับสถานี ขึ้นรถไฟขบวนที่จะพาเรากลับสู่แผนเดิมที่วางไว้
Lauterbrunnen ในสายฝน
ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ภาพฝันที่จะไปกินอาหารเช้าที่เลาเทอร์บรุนเนนดับลง เมื่อฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืด ดูพยากรณ์อากาศก็พบว่าฝนจะตกไปตลอดทั้งวันทั่วพื้นที่แถบอินเทอร์ลาเคน เราตื่นเช้ามานั่งมึน ไม่ต้องคิดถึงยอดเขาจุงเฟรา แต่เลาเทอร์บรุนเนนล่ะ ยังเป็นไปได้ไหม? ไม่มีเวลาคิดนาน เรารีบกินอาหารเช้าที่โรงแรมนั่นแหละ แล้วยืมร่มออกเดินทางไปเลาเทอร์บรุนเนน ลองเสี่ยงดู เผื่อว่าจะมีอะไรดีๆ
ฟ้าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นเป็นสีเทาทึบ ฝนตกหนัก อุณหภูมิหล่นไปที่ 5 องศา เราขึ้นรถบัสมาลงตรงจุดใกล้น้ำตกชื่อดัง แล้วเดินต่อไปเอง เมืองเงียบกริบ รถทัศนาจรจอดนิ่ง ไร้นักท่องเที่ยว ภาพของเลาเทอร์บรุนเนนที่เขียวขจี ดอกไม้สะพรั่ง น้ำตกพุ่งเป็นสายตระการตาจากหน้าผาสูง 6 เมตร เป็นเพียงภาพที่ไกลจากความเป็นจริง เบื้องหน้าทุกอย่างเป็นสีเทาไปหมด น้ำตกเราได้เห็น แต่ช่างเป็นสายน้ำที่เหมือนน้ำตาของหน้าผามากกว่า หุบเขาสูงสลับถูกหมอกหนากลืนหายไป
เราเดินหนาวสั่นอยู่กลางสายฝนเพียงลำพัง มีนักท่องเที่ยวเดินสวนมา 2-3 คน ใจวูบห่อเหี่ยวที่ไม่ได้เห็นสิ่งที่คาดหวัง ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเลาเทอร์บรุนเนนในวันฝนตกนั้นเป็นยังไง แล้วสิ่งที่สดใสก็ปรากฏขึ้น เหล่าดอกไม้สีแจ่มบานอยู่เหนือหลุมฝังศพ สุสาน นี่อาจเป็นสุสานที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ดอกไม้เปล่งสีจ้าขึ้นมาท่ามกลางสีเทา ราวกับแข่งกันปลูกดอกไม้สุดสวยให้ผู้ที่จากไป
การเดินทางก็เป็นอย่างนี้ มีความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคราก็สมหวังทั้งๆ ที่ไม่คาดหวัง ชีวิตก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม?
ใครว่าการท่องเที่ยวก็คือก็แค่การเปลี่ยนที่กินที่นอนเท่านั้น แต่สำหรับเรามากไปกว่าความสวยงามที่สัมผัส ใจเราจะได้ขัดเกลาและเรียนรู้อะไรบางอย่างเสมอ
//////////////////////////
*การนั่งรถไฟ รถราง หรือเคเบิลคาร์เพื่อขึ้นยอดเขา หากถือ Swiss Travel Pass ส่วนใหญ่จะลดราคาตั๋วได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นยอดจุงเฟราที่ลด 25 เปอร์เซ็นต์ และบางยอดอย่าง Rigi ก็ขึ้นฟรีได้เลย
* Schynige Platte ปิดช่วงฤดูหนาว เปิดอีกทีวันที่ 30 พฤษภาคม – 27 ตุลาคม 2562