สื่ออันทรงพลังและชีวิตที่มีเจตจำนงของ ชัคและเชอร์รี ควินลีย์

สื่ออันทรงพลังและชีวิตที่มีเจตจำนงของ ชัคและเชอร์รี ควินลีย์

คู่สามีภรรยาชาวอเมริกันที่อยู่ในเชียงรายกว่า 10 ปี ชัคและเชอร์รีทำโรงเรียนสอนการทำสื่อในเชียงราย ให้แก่เยาวชนในพื้นที่และนักเรียนนานาชาติ เพื่อติดอาวุธอันทรงพลังในยุคคอนเทนท์ครองโลก

ได้ไปวิ่งที่งานวิ่งแม่สลองเทรล ที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นอกจากทีมช่างภาพที่เป็นเพื่อนสนิทกับทีมงานแล้ว ยังมีเหล่าชาวต่างชาติอาสามาเป็นช่างภาพมากมายหลายเชื้อชาติ เขาและเธอเหล่านั้นดูไม่ใช่มืออาชีพด้านถ่ายภาพ ห่างไกลกับความเป็นช่างภาพในงานวิ่ง วิ่งไปเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใครหนอ

ในแฟนเพจ Maesalong Trail –MST เฉลยว่าช่างภาพต่างชาติเหล่านั้นคือนักเรียนของชัค ควินลีย์  (Chuck Quinley) และเชอร์รี ควินลีย์ (Sherry Quinley) คู่สามีภรรยาชาวอเมริกัน ซึ่งอาศัยอยู่ในเชียงรายกว่า 10 ปีแล้ว

IMG_2577 (1)

ชัคและเชอร์รีทำโรงเรียนสอนการทำสื่อ Media Lights Asia ในเชียงราย โดยเปิดสอนคอร์สการถ่ายภาพ การทำวิดีโอ และการสร้างคอนเทนท์ ให้แก่นักเรียนนานาชาติ และเยาวชนในพื้นที่ ดอยแม่สลองก็คือสถานที่ที่พวกเขาขึ้นมาเรียนภาคปฏิบัติกันเสมอ นอกจากถ่ายภาพ ทำสารคดี งานนี้พวกเขายังพานักเรียนมาลงพื้นที่อาสาถ่ายภาพในงานวิ่งให้ด้วย

ค่ำคืนหลังจบงานวิ่ง ทีมช่างภาพและผู้จัดงานวิ่งได้รับเชิญไป “วิพากษ์” ผลงานของนักเรียนที่บ้านของชัคและเชอร์รี พร้อมกับนำผลงานไปแบ่งปันกันติชมอีกด้วย เราเป็นเพื่อนกับหนึ่งในทีมงาน ก็เลยได้ติดสอยห้อยตามไปแบบไม่ค่อยรู้อะไร รู้แต่ว่าค่ำคืนนั้นมีพลังงานของการเรียนรู้ที่เปิดกว้างไหลเวียนอยู่ แล้วเราก็ได้รู้จักสองสามีภรรยาคู่นี้มากขึ้น

medialight

บ้านของชัคและเชอร์รีเป็นบ้านชั้นเดียวสร้างแบบเรียบง่าย แต่มีบรรยากาศของบ้าน “ฝรั่ง” การจัดพื้นที่สัมผัสได้ว่าบ้านหลังนี้เปิดประตูต้อนรับคนจำนวนมากเสมอ โต๊ะไม้ตรงกลางตัวใหญ่ ตั้งมอนิเตอร์ไว้เป็นศูนย์กลาง ล้อมด้วยโต๊ะเล็ก เก้าอี้มากมาย ตั่งขนาดใหญ่ที่นั่งได้ถึง 4-5 คน ห้องเชื่อมกับระเบียงที่มีโต๊ะพร้อมนั่งเล่นทำงานอีกชุดหนึ่ง แม้จะเป็นตอนกลางคืน แต่จินตนาการได้ไม่ยากว่า เมื่อถึงเวลาที่อาทิตย์ส่องแสงวิวตรงนี้ต้องเป็นวิวหลักล้านแน่นอน

การเรียนหลักสูตรเดียว 4 ปี หากท้ายที่สุดไม่ชอบ ไม่ใช่ ก็นับว่าเป็นการสูญเวลาไปมากทีเดียว

การวิพากษ์งานเริ่มด้วยการนำผลงานทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่ตัดความยาวสั้นๆ ของนักเรียนแต่ละคน ร่วม 10 กว่าชีวิตจากชาติต่างๆ มาแบ่งปันกันชม เชอร์รีบอกว่านี่คือหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียนจะได้เห็นผลงานของทุกคน ได้เห็นจุดดีจุดด้อยของตัวเองเพื่อนำไปพัฒนาต่อ

เรารู้แล้วล่ะว่าบ้านนี้ก็คือสถานที่เรียนอีกแห่ง แต่ที่สนใจคือเพราะอะไรชาวต่างชาติคู่นี้จึงมาทำโรงเรียนสื่อในเมืองไทย โดยเฉพาะที่เชียงราย และโรงเรียนแห่งนี้ไม่ใช่แค่เปิดสอนการทำสื่อเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นโครงการพัฒนาเยาวชนอยู่ด้วย ไม่เพียงนักเรียนนานาชาติที่สมัครมา ยังเปิดรับเยาวชนไทย เด็กในพื้นที่ให้ได้มาเรียนเพื่อเสริมสร้างโอกาสในชีวิตอีกด้วย

ชีวิตที่มีความหมาย

ชัคและเชอร์รี่เป็นคริสเตียนทั้งคู่ พวกเขาพบกันตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เพราะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเดียวกัน ที่การได้รับใช้พระเจ้าและรับใช้เพื่อนมนุษย์ เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายลึกซึ้ง

ชัคเรียนกฎหมาย ส่วนเชอร์รีเรียนสังคมศาสตร์ ช่วงวัยหนุ่มชัคอยากเป็นทนายความ ไม่ใช่เพราะอาชีพนี้ได้เงินเยอะ แต่เป็นงานที่สามารถช่วยคนได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็คิดว่าคงไม่ใช่คำตอบที่ถูก ในฐานะสมาชิกโบสถ์ ทั้งคู่จึงตัดสินใจทำงานทุกอย่างที่เป็นการช่วยเหลือคน จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์ชวนไปทำงานด้านการศึกษาที่จาไมก้า

IMG_1843

“เขาชวนเราเพราะคิดว่ามีแต่เราทั้งคู่นี่แหละบ้าพอที่จะไป” จากที่เคยคิดว่าจะอยู่จาไมก้าแค่ปีเดียว ก็กลายเป็น 5 ปี ระหว่างนั้น ชัคก็เรียนจนจบปริญญาเอก ที่นี่ก็เป็นอีกแห่งที่พวกเขาได้สร้างเครือข่ายเพื่อนไว้มากมาย (รวมถึงลูกเขยซึ่งมาเป็นช่างภาพอาสาในงานนี้ด้วย)

ต่อมาชัคก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยคริสเตียนที่ฟิลิปปินส์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทที่นั่น พวกเขาอยู่ที่ฟิลิปปินส์ถึง 18 ปี ระหว่างนั้นก็ได้เดินทางไปทั่วเอเชีย จนมาถึงเชียงราย พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาจะใช้ชีวิตที่เหลือในเอเชีย

ในยุคที่สื่อครองเมือง นี่คืออาวุธที่สำคัญสำหรับเยาวชน ไม่ว่าจะขาดโอกาส หรือมีโอกาสแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอย่างไรต่อ อย่างน้อยทักษะนี้แหละที่จะช่วยนำไปทำมาหากินได้

และเชียงรายก็คือที่ที่พวกเขาเลือก กว่า 10 ปีแล้วที่ไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอเมือง และดอยแม่สลอง พวกเขาเช่าบ้านอยู่ทั้ง 2 ที่ โรงเรียนสื่อของพวกเขามีฐานอยู่ในอำเภอเมือง ส่วนดอยแม่สลองถือเป็นแหล่งการเรียนปฏิบัติที่มีวัตถุดิบครบครัน

สื่อ เครื่องมือทรงพลังแห่งยุค

ทำไมต้องสอนเรื่องการทำสื่อ? ชัคเล่าว่า สื่อคือเครื่องมือทรงพลังอย่างมากโดยเฉพาะยุคนี้ พวกเขาสังเกตการเปลี่ยนแปลง การล่มสลาย การเกิดของสื่อใหม่ตลอดเวลา ที่สำคัญพวกเขามีลูก 6 คน ก็ได้เห็นการตอบสนองต่อสื่อของเด็กๆ มาตลอด

IMG_2515 (1)

อินเทอร์เน็ท โซเชียลมีเดีย และสมาร์ทโฟน เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปหมด ถ้าไม่รู้เท่าทัน สื่อก็เป็นดาบสองคม เป็นทั้งวัฒนธรรมใหม่และตัวทำลายวัฒนธรรมเดิม “เมื่อก่อนเราไปเยี่ยมบ้านกันและกัน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ทุกคนเอาแต่จ้องโทรศัพท์ของตัวเอง” เชอร์รี่ถ่ายทอดคำของผู้เฒ่าผู้แก่บนดอยให้ฟัง

หากยิ่งรู้จักตัวเอง มีเจตจำนง ชีวิตก็จะเดินตรงไปอย่างมั่นคง ไม่หลงทาง

ฉะนั้น สื่อจึงสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เราทุกคนเป็นผู้รับสื่อ ชัคว่าแค่นั้นไม่พอ ต้องทำสื่อเองเป็นด้วย ในยุคที่สื่อครองเมือง นี่คืออาวุธที่สำคัญ และสำหรับเยาวชน ไม่ว่าจะขาดโอกาส หรือมีโอกาสแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอย่างไรต่อ อย่างน้อยที่สุดทักษะนี้แหละที่เขาจะนำไปทำมาหากินได้ “มีนักเรียนชาวอินเดียของเราคนหนึ่ง ได้งานทำที่บอลลีวู้ดระหว่างนั่งเครื่องบินกลับประเทศตัวเองเลย”

ชีวิตที่มีเจตจำนง

โปรแกรมการสอนหลักของที่นี่จะเป็นคอร์ส 6 สัปดาห์ เป็นแบบพักในแคมปัสของโรงเรียนเลย และด้วยความที่เป็นโรงเรียนที่สนับสนุนโดยโบสถ์คริสเตียน สารที่พวกเขาสื่อจึงเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เชอร์รีบอกว่ารับนักเรียนศาสนาอื่นด้วย และตั้งใจจะไม่เน้นคำสอนของคริสต์มาก เพราะเคารพในความเชื่อต่างศาสนา ฉะนั้น นอกจากสอนเทคนิคการถ่ายภาพ การถ่ายวิดีโอ ตัดต่อ และการสร้างเรื่องราวแล้ว พวกเขายังเน้นการค้นหาภายในตัวเองด้วย

Copy of IMG_4345

“เราสอนนักเรียนมามาก พบว่าทุกคนจะมีปัญหาภายในตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปมอุปสรรคในใจ การไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน เราจะมีช่วงอบรมให้ทุกคนได้ค้นหาตัวตน รู้จักจุดแข็งของตัวเอง แล้วสื่อสารออกไปให้ชัด”

ชัคเสริมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเราเลือกให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ภาษากาย ทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องการบอกให้โลกรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร การเรียนทำสื่อที่นี่ จึงวางพื้นฐานที่การค้นพบตัวเองให้ชัด เขาขอแค่ “ข้อความเดียว” เท่านั้น จงค้นให้พบ แล้วสื่อออกไปให้ชัด

 “ใช้ชีวิตอย่างมีเจตจำนง - Live with intension” ชัคและเชอร์รี่บอก นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นและทำ เจตจำนงในชีวิตของพวกเขาคือการช่วยเหลือผู้คน การทำเรื่องการศึกษามาตลอดชีวิตของพวกเขายืนยันสิ่งนั้น เมื่อทุกคนได้ทักษะสำคัญเพื่อสร้างอาชีพ ก็มีชีวิตรอดได้ และหากยิ่งรู้จักตัวเอง มีเจตจำนง ชีวิตก็จะเดินตรงไปอย่างมั่นคง ไม่หลงทาง

รู้จริง ทำจริง ในเวลาสั้น

สำหรับชัคที่เคยบริหารมหาวิทยาลัยมาเกือบ 20 ปี เขาเห็นว่าการเรียนหลักสูตรเดียว 4 ปี หากท้ายที่สุดไม่ชอบ ไม่ใช่ ก็นับว่าเป็นการสูญเวลาไปมากทีเดียว เมื่อมาทำโรงเรียนนี้เขาจึงเลือกพัฒนาหลักสูตร 6 สัปดาห์ขึ้นมา เป็นการเรียนแบบเข้มข้นมาก เพราะเรียนกัน 6 วันต่อสัปดาห์ วันละ 12 ชั่วโมง เน้นการปฏิบัติให้ทำจริง ทำเป็น

IMG_2871

นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรออนไลน์ ที่อาจจะมาเชียงรายกันแค่ 5 วัน แล้วหลังจากนั้นก็ทำการบ้านส่ง คุยงานกันทางออนไลน์จนจบคอร์ส 3 เดือนสำหรับครูที่มาสอนในคอร์สนั้น ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่พวกเขาเชิญมาสอนโดยเฉพาะ อาจเป็นนักเรียนเก่าที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ กลับมาแบ่งปันความรู้ให้นักเรียนรุ่นใหม่

ก่อนหน้าที่จะทำโรงเรียนจริงจัง ชัคซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการอบรมภาวะผู้นำ มักได้รับเชิญให้ไปสอนที่ประเทศต่างๆ เขาจึงคิดว่าน่าจะเปิดโรงเรียนขึ้นที่นี่ให้นักเรียนจากประเทศต่างๆ บินมาเรียนน่าจะดีกว่า นักเรียนที่มาจาก 10 กว่าประเทศ ก็จะได้ทำความรู้จักกัน สร้างเครือข่ายต่อยอดไปได้อีก

นอกจากโปรแกรมของโรงเรียนเองแล้ว พวกเขายังทำคอร์สอบรมเกี่ยวกับการสร้างสื่อให้เด็กๆ ในโรงเรียน และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกิจกรรมในท้องถิ่นด้วย หลายงานก็เป็นงานอาสาอย่างแม่สลองเทรลที่ผ่านมา

ความรักเติมพลังชีวิต

การทำงานกับผู้คนมากมายเป็นงานที่หนัก แต่พวกเขาถือคติ Work Hard, Play Harder เมื่อถึงเวลาพัก ก็ต้องพักอย่างเต็มที่ ทั้งคู่เป็นคนชอบเดินทาง และทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างการขี่จักรยาน เดินป่า เที่ยวธรรมชาติ หรือแม้แต่วันอาทิตย์ที่พักผ่อน ก็จะนั่งเล่น จิบชา อ่านหนังสือ แบบที่ไม่คิดไม่คุยกันเรื่องงานเลย

สองสามีภรรยาแต่งงานกันมาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่พวกเขาให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องความรักมาก ให้เวลาที่จะไปเดทและมองตากัน แน่นอนว่าย่อมมีการทะเลาะขัดแย้งบ้าง แต่สามีภรรยาไม่เคยเหนื่อยหน่ายกันและกัน

3.Fam

กับลูกๆ ทั้ง 6 คน พวกเขาก็เน้นเรื่องให้ความรักอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่แค่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ยังมีเวลาเฉพาะสำหรับลูกๆ แต่ละคน ที่จะได้อยู่กับพ่อแม่โดยเฉพาะเพื่อถ่ายทอดความรักให้กันอย่างเต็มที่ เด็กที่ไม่ขาดรัก เมื่อโตขึ้นก็จะเป็นคนมีคุณภาพ ทุกวันนี้ครอบครัวของทั้งคู่น่าจะเรียกได้ว่าครอบครัวสุขสันต์ แม้ลูกๆ จะอยู่กันคนละประเทศ แต่ก็แวะเวียนมาหา มาช่วยงาน มาทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความอบอุ่น

รอยยิ้มและแววตาของทั้งสองทำให้เราสัมผัสได้ว่า ในเจตจำนงของชีวิตพวกเขา คงมีความสุขวางไว้อยู่ด้วยเป็นแน่