ร่องรอยอดีต ริมฝั่งเจ้าพระยา

ร่องรอยอดีต  ริมฝั่งเจ้าพระยา

ไปล่องเรือ แล้วเดินซอกแซกชมสถานที่สำคัญ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

 ก่อนจะสัมผัสบรรยากาศยามเย็น ก็ต้องปล่อยให้แดดแผดเผาผิวกายในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อน และระหว่างเดินฝ่าลมร้อนในเมืองกรุง ได้ยินเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งเปรยว่า ตรอก ซอก ซอย ในกรุงเทพฯ มีสถานที่สำคัญๆ ให้เที่ยวชมอีกเยอะ ที่สำคัญต้องเดิน...

ไหนๆ ก็เป็นคนที่หลงรักสถาปัตยกรรมและศิลปะเป็นทุนเดิม แม้จะเดินไกลแค่ไหน ก็ต้องยอม...

      แต่ครั้งนี้เดินน้อยมาก เพราะคนร่วมทริปมีหลายช่วงวัย สำหรับกิจกรรม The Symbol of Your Journey :East Meets West ที่กลุ่มเดอะวิสดอม(THE WISDOM) ธนาคารกสิกรไทย พาลูกค้าไปสัมผัสสถานที่สำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา 

การท่องเที่ยวครั้งนี้ จึงแค่ลัดเลาะเข้าซอยนี้นิด ออกซอยนี้หน่อย  ชมอาสนวิหารอัสสัมชัญ ,อาคารเก่าอีสต์ เอเชียติก เพื่อสัมผัสกลิ่นอายดั้งเดิมสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่เน้นการล่องแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะช่วงอาทิตย์กำลังตกดิน ได้ชมสะพานพระราม 8 วัดอรุณฯ วัดพระแก้ว โบสถ์ริมน้ำ ฯลฯ 

 แต่ละสถานที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ หนึ่งเดียวแห่งความงามที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ

แบบนี้ต้องลองไปเดินทางดู แล้วจะรู้ว่า อาสนวิหารอัสสัมชัญ โบสถ์แห่งนี้วิจิตร ไม่แพ้โบสถ์ดังๆ ในต่างประเทศ รวมถึงการเยือนล้ง1919 ไปกี่ครั้งก็ยังชื่นชอบสถานที่แห่งนี้ เพราะเราก็ลูกจีนเหมือนกัน นอกจากทำเลดีถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้ชม 

และที่ชอบเป็นพิเศษคือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดราชาธิวาส เป็นการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกที่ลงตัว และเชื่อว่า คนไทยจำนวนมากยังไม่เคยมาเยือนเลย

ยิ่งมีวิทยากรบรรยาย (นักรบ มูลมานัส) คอยให้ความรู้คร่าวๆ แต่ละสถานที่สำคัญๆ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเยอะมาก

...............

a4 1.ล้ง 1919

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มีโอกาสมาเยือนล้ง 1919 สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเชียงใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสาน

ในอดีต ล้ง 1919 เป็นท่าเรือกลไฟในสมัยรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าเรือสินค้าจากต่างประเทศหรือในประเทศ ต้องมากระจายสินค้าที่ท่าเรือแห่งนี้ โดยตระกูลหวั่งหลีถือครองพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี 1919

นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว ซึ่งเป็นที่นับถือของคนทำการค้าทางเรือในสมัยนั้น

ดังนั้นเวลาพาอาม้า อาม่า อาก๋ง มาท่องเที่ยวที่นี่  

หากอยากสักการะ เจ้าแม่หม่าโจ้ว (MAZU)ต้องจุดธูป 3 ดอกหันหน้าไปทางท่าน้ำ เพื่อคำนับเทพยดาฟ้าดิน จากนั้นจุดธูปอีก 15 ดอก หันหน้าไปทางศาลเจ้าแม่ อธิษฐานขอพร แล้วปักธูป 5 จุด จุดละ 3 ดอก

ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นของตระกูลหวั่งหลี เคยเป็นท่าเรือของพระยาพิศาลศุภผล (ชื่น) ต้นตระกูลพิศาลบุตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2393 โดยใช้ชื่อว่า “ฮวงจุ้งล้ง”ท่าเรือกลไฟและโกดังสินค้า สำหรับรองรับเรือสินค้าจากหัวเมืองประเทศต่าง ๆ

กระทั่งขายให้แก่นายตันลิบบ๊วย ตระกูลหวั่งหลี ซึ่งตอนนั้นเดินเรือค้าข้าวระหว่างไทยและจีน ขยายกิจการมาเรื่อยๆ จนมีโรงสี โกดังสินค้าให้เช่า เป็นเอเยนต์เรือเดินทะเล และสมัยนั้นการค้าขายระหว่างประเทศจะใช้เรือสำเภา จนกระทั่งหันมาใช้เรือกลไฟส่งข้าวไปขายฮ่องกง สิงคโปร์และญี่ปุ่น

ที่นี่จึงเรียกว่า ท่าเรือกลไฟ

ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ตระกูลหวั่งหลี ได้เข้ามาพัฒนาท่าเรือกลไฟให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 โดยคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบจีน อาคารสองชั้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องแบบจีน โดยผังอาคารเป็นรูปตัวยูเชื่อมต่อกันทั้งสามหลัง โดยอาคารหลักหันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่ตรงกลางเปิดโล่ง เพื่อใช้เป็นลานอเนกประสงค์

สำหรับคนที่มาล้ง 1919 หากเป็นคนรักศิลปะ สิ่งที่พลาดไม่ได้เลย คือ การชมจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนสีด้วยพู่กันแบบจีน บางภาพสีจางหายไปตามกาลเวลา

ว่ากันว่า ในสมัยเริ่มสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตั้งแต่วัดประยุรวงศาวาสถึงย่านบุคคโลเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคหบดีจีน ทำให้ริมน้ำย่านนี้มีโกดังสินค้าและศาลเจ้า เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนชาวจีน

ส่วนชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยรัชกาลที่ 5ส่วนใหญ่เข้ามาพักอาศัยอยู่แถวย่านเจริญกรุง

......

a3 2. อาสนวิหารอัสสัมชัญ

สถานที่แห่งนี้อยู่ในอาณาบริเวณโรงเรียนอัสสัมชัญ ซอยเจริญกรุง 40 และเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเข้าไปด้านในอาสนวิหาร แม้จะใช้เวลานั่งอยู่ด้านในไม่กี่นาที ก็สัมผัสได้ถึงความสงบเย็นของศาสนสถาน 

อาสนวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปีพ.ศ. 2452 โดยดำริของ คุณพ่อโกลงเบต์ เจ้าอาวาสชาวฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ สร้างขึ้นเพื่อทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่คับแคบ สถาปนิกผู้ออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส จึงใช้วัสดุก่อสร้าง หินอ่อนและกระจกสีสั่งตรงจากฝรั่งเศส สิงคโปร์ และอิตาลี

อาสนวิหารหลังนี้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ หอระฆังมีความสูงตั้งแต่ยอดหอคอยจดพื้น 32 เมตร ด้านใน ส่วนผนังและเพดานตกแต่งด้วยจิตรกรรมแบบเฟรสโก ส่วนประติมากรรมปูนปั้นเป็นเรื่องราวตามความเชื่อของศาสนาคริสต์

ปัจจุบันอาสนวิหารมีอายุกว่า 109 ปี เป็นหนึ่งในอาสนวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และยังได้การยกย่องให้เป็นหนึ่งในอาสนวิหารที่สวยที่สุดในเมืองไทย มีความงามทั้งภายในและภายนอก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของสำนักมิสซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ 

อาสนวิหารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของคริสตชน นอกจากสั่งวัสดุจากฝรั่งเศสแล้ว การสร้างรากฐานยังใช้ท่อนซุงจำนวนมากมัดเรียงเป็นแพ แทนเสาเข็ม เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวโบสถ์เก่าได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด จึงต้องซ่อมแซมอย่างหนัก โดยมีการใช้เหล็กโยงกลางอาคารเพื่อเสริมแรงดึงผนังทั้งสองด้านเข้าหากัน

ว่ากันว่า รูปแบบสถาปัตยกรรมของอาสนวิหารอัสสัมชัญได้รับอิทธิพลจากสมัยเรเนซอง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมต้นศตวรรษที่ 15 ในประเทศอิตาลีที่ถูกนำมาเผยแพร่ในทวีปยุโรป โดยนำเอารูปลักษณ์และองค์ประกอบในยุคคลาสสิค(โรมัน) กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง แต่ใช้เทคนิคก่อสร้างจากยุคกอธิค

นอกจากความสวยงามแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังมีความโดดเด่นในแง่สถาปัตยกรรมที่สร้างได้อย่างสมดุล ทั้งในส่วนของผนังอาคาร หอคอย ซึ่งขนาบทั้งสองด้านของทางซุ้มประตูและหน้าต่างยอดครึ่งวงกลมที่อยู่รายรอบอาสนวิหาร นอกจากนี้มุมอาคารยังเน้นให้เห็นถึงความมั่นคง โดยเลียนแบบหินทรายก้อนโตเรียงสลับกัน และเป็นสิ่งสวยงามที่หาชมได้ยากในยุคนี้

..................

3.อู่ต่อเรือ Bangkok Dock

แม้สถานที่แห่งนี้จะเป็นแค่ทางผ่าน แต่มีความสำคัญต่อการสัญจรทางน้ำ อู่ต่อเรือบางกอกด๊อก ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2408 โดยกัปตันบุชหรือพระยาวิสูตรสาคร กระทั่ง ปี 2484 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา อู่ต่อเรือถูกทิ้งระเบิดและถูกยึดครองโดยกองทหารญี่ปุ่น 

และเมื่อสงครามสิ้นสุด กองทัพเรือไทยเห็นว่า น่าจะใช้ประโยชน์จากอู่ต่อเรือแห่งนี้ได้ จึงขอซื้อหุ้นจากชาวอังกฤษ โดยเปลี่ยนชื่อจากบริษัทบางกอกด๊อกเป็นบริษัทอู่กรุงเทพ จำกัด

.................

4.วัดราชาธิวาส      

ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ๆ ท่าวาสุกรี สามเสน มีวัดแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวัดในพระนคร 

ในสมัยรัตนโกสินทร์ วัดแห่งนี้ถือว่าไกลจากพระนครมาก แต่มีความสำคัญต่อราชวงศ์จักรี เนื่องจากรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งทรงผนวช ทรงจำพรรษาวัดนี้โ 7 ปี

วัดราชาธิวาสเดิมชื่อว่า วัดสมอราย ตั้งอยู่ใกล้โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ที่ชื่อว่า วัดคอนเซ็ปชัญ หรือโบสถ์คอนเซ็ปชัญ อยู่ในความดูแลของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ซึ่งในสมัยนั้นทั้งสองพระองค์ได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันทั้งด้านดาราศาสตร์และความรู้ด้านอื่นๆ

ในด้านสถาปัตยกรรม พระอุโบสถวัดราชาธิวาสเป็นรูปทรงขอม คล้ายนครวัด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบและร่างภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องพระเวสสันดรชาดกในอุโบสถและ ศ. ซี. ริโกลี (C. Rigoli)จิตรกรชาวอิตาเลี่ยน เป็นผู้ลงสีโดยใช้สีปูนเปียก(Fresco) ซึ่งต่างจากจิตรกรรมฝาผนังในวัดไทยทั่วไป เนื่องจากใช้เทคนิคเขียนสีแบบตะวันตก

นอกจากนี้สถาปัตยกรรมของวัดราชาธิวาส ยังเป็นต้นแบบในการสร้างหอประชุม จุฬาฯ

    ..............

a2 5.Praya Palazzo

 อีกสถานที่ที่ไม่แนะนำ คงไม่ได้ พระยา พาลาสโซ่ (Praya Palazzo)อยู่ในเขตบางยี่ขัน  เป็นโรงแรมริมน้ำที่สัญจรไปมาได้ทางเดียวคือ ทางเรือ 

เดิมเป็นเรือนหอของพระยาชลภูมิพานิชและคุณหญิงส่วน อดีตข้าหลวงในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน

ว่ากันว่า หลังจากทายาทดั้งเดิมได้ขายเรือนหอพระยาชลภูมิพานิช และเปลี่ยนเจ้าของมาหลายคน จนมีคนเห็นคุณค่า อยากอนุรักษ์อาคารเก่าแก่เอาไว้ โดยทำเป็นโรงแรม 

อาคารแห่งนี้ได้รางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นในปี 2553 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

สำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศที่นี่ ต้องยอมรับว่าแตกต่างจากโรงแรมทั่วไป เพราะที่นี่มีห้องพักน้อย สงบเงียบ เป็นส่วนตัว  

โดยเฉพาะช่วงแดดร่มลมตก หากใครมีโอกาสนั่งเรือคราฟต์ที่สร้างด้วยมือมากว่า 100 ปีของบริษัทแฮคเกอร์ โบ๊ท ก็ได้อีกบรรยากาศ ค่าเรือประมาณชั่วโมงละหนึ่งหมื่นบาท 

ส่วนที่ฟินสุดๆ สำหรับฉัน คงเป็นช่วงล่องแม่น้ำ นั่งชมทิวทัศน์บนเรือลำใหญ่แบบเอื่อยเฉื่อย

.....................

  a1