ชีวิตเลือกได้ ที่สวนลมหายใจอันสงัด

ชีวิตเลือกได้ ที่สวนลมหายใจอันสงัด

นักฝึกอบรมที่รักการทำสวน จึงมีกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติให้เลือกหลากหลาย

 

หากไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน อยากเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่ว่าทำสวน เปิดบูติคโฮเทล ร้านกาแฟ หรือไม่ก็ฟรีแลนด์ ฯลฯ หากเลือกวิถีแบบนี้ ฝันอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหาข้อมูล มีความพร้อมและลงมือทำ รวมถึงมีแรงผลักดันที่จะทำสิ่งที่ตัวเองรัก

จีรนันท์ หลายพูนสวัสดิ์ นักฝึกอบรม เจ้าของสวนลมหายใจอันสงัด (Garden of Tranquillity)บนพื้นที่ 7 ไร่ ต.คุ้งกระถิน อ.เมือง จ.ราชบุรี เป็นอีกตัวอย่างที่กว่าจะมีวันนี้ ก็ต้องวางแผนและใช้เวลา

เมื่อถามเธอว่า หากหนุ่มสาวที่อยากทำแบบนี้บ้าง ต้องทำอย่างไร 

เธอบอกว่า ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ถ้าจะไปทำสวน ทำเพื่ออะไร

“ชอบอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีพลังที่เป็นแรงผลักดัน หรือที่เรียกว่า passion ต้องถามตัวเองก่อนว่า ชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ของคุณคืออะไร ที่ทางของคุณที่จะอยู่บนโลกนี้มีความหมายอะไร จุดแผ่นดินที่ยืนอยู่คือตัวเราหรือยัง อยากให้คนรุ่นใหม่ถามตัวเองก่อน”

สำหรับเธอ หลังจากเรียนจบและใช้ชีวิตทำงานในแวดวงองค์กรพัฒนาเอกชนกว่า 15 ปี กระทั่งอิ่มตัว อยากกลับบ้านมาทำสวน ปลูกต้นไม้และพืชผักอินทรีย์ สร้างบ้านดิน และทำศูนย์ฝึกอบรมเปิดกว้างสำหรับคนไทยและต่างชาติในการเรียนรู้ธรรมชาติ ศิลปะ และชีวิต

สองปีกับการสร้างฝันให้เป็นรูปเป็นร่าง วางแบบแปลง ปลูกบ้านดิน ควบคู่ไปกับการเป็นวิทยากร กระทั่ง 6 ปีหลัง สวนลมหายใจอันสงัด กลายเป็นสถานที่เรียนรู้และจัดคอร์สต่างๆ บางครั้งหาทุนให้เด็กๆ ในท้องถิ่นได้เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว ทั้งการดูนก และศิลปะ

2 ปัจจุบันแม้ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน แต่เธอก็พอมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว มีคอร์สที่เธอเป็นวิทยากรให้เสมสิกขาลัย หน่วยงานการกุศลภายใต้มูลนิธิเสฐียรโกเศศ–นาคะประทีป

อบรม เรื่อง การโค้ชเพื่อเสริมสร้างพลังชีวิต(Life Coaching) และเป็นวิทยากรอิสระให้หน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงโรงพยาบาล 

เพราะชีวิตช่วงหนึ่ง เธอสะสมประสบการณ์และความรู้มาเยอะ ทั้งเรื่องEco- village Desing Education (EDE )  ที่ Findhorn Community สก็อตแลนด์ และ Co- active Coaching ที่ Coach Training Instiutie (CTI ) USA ที่อังกฤษ และคอร์สอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนามนุษย์ รวมถึงการปฏิบัติธรรมในวิถีชีวิต

“โค้ชชิ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้คนเกิดปัญญา การสอนเรื่องโค้ชของเรา จะมีเรื่องทักษะการฟังด้วย คนเราไม่ว่าจะทำงานกับใคร ถ้าฟังไม่เป็น ปัญหามันเกิด เรื่องการฟัง เราจะใส่ไว้ทุกครั้งในคอร์สของเรา เวลาคนเรามีความขัดแย้ง ถ้าเขาฟังเสียงตัวเองเป็น และฟังคนอื่นเป็น ปัญหามันลด เพราะเขาจะรู้ว่าต้องการอะไร ”

เมื่อถามว่า คนทำงานเพื่อสังคมอย่างเธอ ทำไมสนใจเรื่อง โค้ชชิ่ง เธอบอกว่า ได้เรียนรู้เรื่องนี้ เพราะเห็นว่า เป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะทำให้คนเข้าใจชีวิต อีกอย่างวิธีการที่พวกฝรั่งคิด มันมีระบบโครงสร้างชัดเจน เข้าใจง่าย แต่ต้องฝึกฝน

“ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนอาศรมวงศ์สนิท ตอนนั้นเราได้ทุนไปเรียนที่ชุมชนนิวเอจฟินฮอร์นได้เจอครูHide คนญี่ปุ่นที่สอนวิชาโค้ชที่ฟินฮอร์น เราก็ได้เรียนหลายๆ เรื่อง  พอมาเรียนเรื่องโค้ชชิ่งชอบวิชานี้มาก อยากนำมาเผยแพร่ในเมืองไทย Hide จึงแนะนำให้ขอทุน CTI ซึ่งมีสาขาทั่วโลก เราเลือกไปเรียนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษสามเดือน และเรียนเพิ่มทางออนไลน์ "

ว่ากันว่า วิธีการโค้ชจะมีระบบโครงสร้างในการซักถาม เพื่อให้คนถูกโค้ชตระหนักรู้ว่า เขาเป็นคนแบบไหน เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับ

“วิชานี้จะมีโครงสร้างชัดเจน ทำให้คนเห็นตัวเองลึกขึ้น สถาบันที่เราเรียน สอนเรื่องปัญญาญาณของมนุษย์ด้วย ซึ่งคนพูดเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านี้ ทุกคนมีตั้งแต่เกิด แต่เราใช้สมองซีกซ้ายเรียนหนังสือ ปัญญาญาณก็เลยหายไป ซึ่งคนโบราณจะมีเรื่องแบบนี้เยอะมาก บางทีเราไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่มันมีความหมาย ปกติจิตของเราจะหยั่งรู้ว่า คู่สนทนาเป็นคนแบบไหน สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของเขาได้”

ปัญญาญาณเหล่านี้ เธอบอกว่า ฝึกฝนได้ เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจมนุษย์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น แต่ต้องลดความคิด เพราะปัจจุบันคนเราใช้ความคิดเยอะ ไม่ได้ใช้ปัญญาที่มาจากจิตใต้สำนึก เพราะเราทำทุกอย่างด้วยความคิด

“บางทีทำงานหนัก คิดอะไรไม่ออก ถ้าได้ผ่อนคลาย เดินในสวน เข้าห้องน้ำ อยู่ดีๆ เรื่องที่เราคิดไม่ออก ก็คิดออก ตัวปัญญาญาณทำงานแล้ว สภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอยู่ในบรรยากาศโล่ง โปร่ง สบาย เมื่อตัวเราเชื่อมโยงกับพลังงานของธรรมชาติ ทำให้ปัญญาญาณของเราแหลมคมขึ้น”

ทุกครั้งที่เธอรับเป็นวิทยากรเรื่องโค้ชชิ่ง เธอบอกว่า ต้องทำงานกับตัวเองก่อน ทำจิตให้ว่าง เพื่อที่จะรับสิ่งที่พวกเขาพูดและคิดได้อย่างเต็มที่ 

“เท่าที่ผ่านมา เวลาพูดเรื่องปัญญาญาณ คนจะสนใจ แต่ไม่ค่อยเข้าใจ พอโค้ชไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้น”

นอกจากโค้ชชิ่ง เธอยังมีคอร์สฝึกอบรมเรื่องอื่นๆ อีก โดยสวนที่สร้างด้วยสองมือ ร่วมกับสามี- ณฐ ด่านนนทธรรม นักฝึกอบรมอีกคน เปิดกว้างสำหรับทุกคน

 “พอมีลูก ก็อยากให้เขาเติบโตในสวนกว้างๆ ใช้ชีวิตช้าๆ ได้ทำงานในสวน ผลิตอาหารเอง และได้ดูแลสุขภาพ เราเปิดโอกาสให้เด็กๆ ในชุมชนมาเรียนรู้ในเรื่องศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งเรื่องการเพ้นท์เสื้อ ย้อมผ้า ปั้นดิน จักสาน หุ่นถุงเท้า ของเล่นธรรมชาติ เราใช้วิธีระดมทุน เพราะเราเป็นนักฝึกอบรม ก็รู้ว่า ใครเป็นแหล่งทุน กิจกรรมดูนก ปีที่แล้ว เราได้วิทยากรมาสอนดูนกในละแวกสวน การดูนกของเราไม่ใช่แค่ดูนก อยากให้เด็กๆ รู้จักการสังเกตนกในธรรมชาติ และรักธรรมชาติมากขึ้น

ต่อไปเราจะสอนเรื่องการปฎิบัติธรรมด้วย ตอนนี้เรากำลังฝึกปฏิบัติสายหลวงพ่อเทียน เพื่อจะได้ตระหนักเห็นความทุกข์ และอีกเรื่องคอร์สอะไรที่ทำให้คนเติบโตทางจิตวิญญาณ และพึ่งตัวเองได้ เราก็ทำสิ่งนั้น" จีรนันท์ เล่า ก่อนหน้านี้ เธอก็เคยทำคอร์สอาหารเพื่อสุขภาพ แมคโครไบโอติกส์ อาหารมังสวิรัติ และคอร์สการทำงานเป็นทีมแบบมีส่วนร่วม ฯลฯ 

 

 

3_1 ((ล้อมกรอบ))

-สวนลมหายใจอันสงัด เป็นแหล่งเรียนรู้การพัฒนาชีวิตและธรรมชาติ โดยทำงานร่วมกับผู้คนในสังคมหลากหลายรูปแบบ ทั้งจิตอาสาไทย ที่มาช่วยทำบ้านดินและเรียนรู้วิถีธรรมชาติ และจิตอาสาจากทั่วโลกที่ได้รับข่าวสารจากเว็บ woof และ workaway

-ที่นี่เคยต้อนรับ ทั้งนักศึกษาเกาหลีและอเมริกา มาช่วยทำบ้านดิน สอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ในโรงเรียนชุมชน ปั่นจักรยานรอบๆ หมู่บ้าน และเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบไทยๆ

-คอร์สฝึกอบรม วงกลมแห่งพลังสตรี จะจัดทั้งหมด 4 ครั้ง วันที่ 3-4 ธันวาคม 61 เรื่อง “กลับมาดูแล รักษา พลังเพศสตรีด้วยชี่กงและการโค้ช” วิทยากรโดย จีรนันท์ หลายพูนสวัสดิ์ และอีกหลายคอร์สในปี 2562 ที่สวนลมหายใจอันสงัด ดูได้ที่เฟซบุ๊ค Jeeranun Laipoonswat และเพจ: สวนลมหายใจอันสงัด เบอร์ติดต่อ 089 5085700