เตรียมนัดกันไปชิมเพื่อ.. บ้านพิงพัก

เตรียมนัดกันไปชิมเพื่อ.. บ้านพิงพัก

1 ตุลาคม 2561 เตรียมพบกับงาน Eat Drink Pink 2018 หนึ่งในกิจกรรมการกุศลด้านอาหารและเครื่องดื่มครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อระดมทุนหารายได้สนับสนุนโครงการ 'บ้านพิงพัก' และ มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ

อาหารคุณภาพและรสชาติระดับปรุงโดยเชฟมิชลินสตาร์ ปรุงโดยร้านอาหารเจ้าของรางวัลร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย (Asia’s Best Restaurants) และร้านอาหารดาวรุ่งที่กำลังมาแรงและมีชื่อเสียง คุณคิดว่าต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเท่าใดจึงจะชิมได้ครบ 10 ร้าน

แต่สำหรับงานนี้ คุณเตรียมค่าใช้จ่ายไว้ 3,000 บาท สามารถเปิดประสบการณ์ชิมอาหารจากร้านอาหารระดับดังกล่าวอย่างน้อย 35 ร้าน

งานนี้ชื่อ Eat Drink Pink ร่วมกันจัดโดยโรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ และร้านอาหารชั้นนำที่ได้รับรางวัลระดับมิชลินสตาร์ รางวัลร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย และร้านอาหารดาวรุ่งที่กำลังมาแรงและมีชื่อเสียง

จุดประสงค์ของการจัดงานนี้ เพื่อระดมทุนหารายได้มอบ มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้าง บ้านพิงพัก (Pink Park Village) ศูนย์ดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและศูนย์วินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมอย่างครบวงจร ซึ่งดำเนินงานโดยไม่แสวงหาผลกำไร

Pink Park Village -Cafeteria

โครงการบ้านพิงพัก(Pink Park Village)

Pink Park Village - Patient Room (2)

ห้องพักภายในหอฟื้นฟูผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษา (Convalescence)

20180821223929841

ห้องพัก(เตียงเดี่ยว)ภายในหอดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ไร้ญาติ (Hospice) ทุกเตียงมองเห็นธรรมชาติ

“แขกผู้มาร่วมงาน Eat Drink Pink จะได้ลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มเมนูสร้างสรรค์ ซึ่งรังสรรค์ขึ้นโดยบรรดาเชฟและบาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ ซึ่งต่างพร้อมใจกันมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วยความเอื้ออาทรที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ ร่วมกันนำเสนอความอร่อยด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยรายได้จากการจัดงาน ซึ่งไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ จะสมทบรวมกับเงินบริจาคที่ได้จากกิจกรรมระดมทุนกิจกรรมอื่นๆ เพื่อบริจาคมอบให้แก่มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ โดยงาน Eat Drink Pink 2015 รวมกับเงินบริจาคที่ได้จากกิจกรรมอื่นๆ สามารถระดมทุนได้ถึง 1,200,000 บาท ในขณะที่งาน Eat Drink Pink 2017 สามารถระดมทุนได้เงินบริจาค 1,000,000 บาท” ปทมา เลิศวิทยาสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ กล่าวในการแถลงข่าวการจัดงาน ​Eat Drink Pink 2018 ณ โครงการ ‘บ้านพิงพัก’ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน 121 ไร่ แถบหนองจอก มีนบุรี กรุงเทพฯ

ภัตตาคาร บลู เอเลเฟ่นท์ (ฺBlue Elephant) หนึ่งในร้านอาหารที่สนับสนุนงาน Eat Drink Pink 2018 เตรียมนำเมนู ส้มตำแก่นตะวันสาหร่ายพวงองุ่น และ สาคูแคนตาลูป เข้าร่วมงาน

20180821224250252

วัตถุดิบสำหรับทำเมนู 'ส้มตำแก่นตะวันสาหร่ายพวงองุ่น' 

20180821224249220

ส้มตำแก่นตะวันสาหร่ายพวงองุ่น

20180821224248694

สาคูแคนตาลูป

“เชฟจะตระหนักถึงปัญหาสุขภาพเสมอ มักจะคิดว่า ‘อยู่อย่างมีสุขภาพดีและมีความสุข’ เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต แม่จะสอนเสมอเรื่องของสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ดังนั้นเมื่อโตขึ้น เชฟรู้ว่าต้องนำเรื่องนี้มาแบ่งปันให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ได้รับทราบถึงเมนูธรรมดาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ดังนั้นเชฟจึงต้องการที่จะปรุงอาหารที่เรียบง่ายและอร่อย และมีส่วนผสมจากธรรมชาติ” เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนทำอาหารและเชฟแห่งภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์ และในฐานะทูตของมูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการเลือกนำเสนอรายการอาหารดังกล่าว

 นอกจากนี้ เชฟนูรอยังรู้สึกว่าคนไทยมักคิดว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ต้องเป็นอาหารที่สะอาด แต่ไร้รส ซึ่งก็ไม่เป็นความจริง เราสามารถสร้าง สุขภาพดีและความสวยงาม ได้จากอาหารที่อร่อย และจากนิสัยการกินแบบยั่งยืน เพื่อเพิ่มสุขภาพและความงามของตนเอง

"เมนูสุขภาพจะถูกสันนิษฐานไว้เสมอ ว่าต้องเป็นอาหารที่ไร้รสชาติ แต่เมนูที่ดีต่อสุขภาพ สามารถปรุงให้อร่อยได้ และจะทำให้คุณอยากเลือกรับประทานแต่อาหารเพื่อสุขภาพได้อย่างยั่งยืน ส้มตำ เป็นอาหารที่คนไทยทุกคนชอบ ดังนั้นเชฟจึงตัดสินใจที่จะทำเมนูนี้ และดัดแปลงส่วนผสมจากมะละกอเป็น อาร์ทิโชก(artichoke) ที่จะช่วยให้ได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพมากขึ้นและเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ เช่น คาเวียร์สีเขียว นั่นก็คือ สาหร่ายพวงองุ่น เพื่อเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย สำหรับของหวานเราขอนำเสนอสาคูแคนตาลูปซึ่งเป็นขนมหวานโปรดปรานของคนไทย แต่เราจะใช้ นมอัลมอนด์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า" เชฟนูรอ ยกตัวอย่าง

วัตถุดิบที่เลือกมา เชฟนูรอบอกว่า ยังมีสารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง

“อาร์ทิโชกเป็นผักที่คนไทยอาจไม่คุ้นเคย แต่อาร์ทิโชกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดของผักทั้งหมด และสารต้านอนุมูลอิสระนี้ก็เป็นสารสำคัญที่ป้องกันระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ อาร์ทิโชกยังมีวิตามินซีสูง และมีสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยสำหรับแคนตาลูปเต็มไปด้วยสารอาหารที่เป็นระบบภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ และนมอัลมอนด์มีวิตามินและแร่ธาตุสูง ดังนั้นจึงช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็งได้”

20180821224246833

ข้าวแต๋นแบล็คเบอร์รี่พร้อมแซลมอนฝอย ซอสมะม่วง และหอมแดงเจียวทอดกรอบ, ร้าน Freebird

ร้านอาหาร Freebird (ฟรีเบิร์ด) นำเสนอ ข้าวแต๋นแบล็คเบอร์รี่พร้อมแซลมอนฝอย ซอสมะม่วง และหอมแดงเจียวทอดกรอบ เข้าร่วมงาน

"วัตถุดิบหลักในเมนูนี้คือแซลมอนกรอบฝอย ข้าวแต๋นไรซ์เบอร์รี่และมะม่วง ใช้ขบวนการแปรรูปจากมะม่วงสดให้ออกมาเป็นเจลมะม่วงที่คงรูปร่างอย่างสวยงาม ซึ่งปกติเราจะใส่น้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลมะพร้าว (วัตถุดิบหลักในการทำน้ำยำ) เป็นการผสมผสานรสชาติเข้ากันอย่างดีทั้ง 3 รสชาติ เปรี้ยว เค็ม และหวาน เราใส่ แซลมอน ซึ่งมีโอเมก้า 3 ซึ่งมาพร้อมกับรสชาติที่โดดเด่น และเราเลือกเสิร์ฟ ข้าวแต๋นไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งมีคุณประโยชน์และไฟเบอร์สูง" เชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซล เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟร้านอาหารฟรีเบิร์ด กล่าว

เชฟท็อปปรุงข้าวแต๋นไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งทำจาก ‘ข้าวเจ้าดำเชียงใหม่’ ซ้ำสองครั้งเพื่อให้ได้รสชาติตามที่ต้องการ โดยหุงข้าวจนสุก เอาเข้าเตาอบในอุณหภูมิต่ำทิ้งไว้จนแห้งทั้งคืน หลังจากนั้นทอดในน้ำมันดอกคาโนลาที่อุณหภูมิ 220 องศาเซียลเซียส จนพองขึ้นมากลายเป็นข้าวแต๋นกรอบอร่อยส่วนแซลมอน ใช้วิธีต้มสุก ตำแล้วนำไปตากแดด ต่อด้วยการคั่วในกระทะเพื่อเรียกน้ำมันในเนื้อแซลมอนออกมาและมีรูปลักษณะคล้ายปลาดุกฟู

“ผมรู้สึกว่าอาหารจานนี้สามารถแสดงถึงความเป็นตัวตนและการเดินทางมาสู่อาชีพเชฟได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าพื้นฐานการทำอาหารที่ได้ร่ำเรียนมานั้นจะเป็นการทำอาหารฝรั่งเศสก็ตาม แต่ผมภูมิใจในความเป็นไทย อาหารจานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารที่ผมชื่นชอบ คือ ‘ยำปลาดุกฟู’ ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีวิตามินมาจากมะม่วงและสารอาหารที่มีประโยชน์จากเนื้อปลา ผมรู้สึกว่าเหมาะสมที่จะเสิร์ฟในงานนี้มากๆ” เชฟท็อปกล่าว

พร้อมกับกล่าวถึงคุณค่าสารอาหารในเมนูนี้ว่า “เมนูนี้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ซึ่งเราใช้น้ำมันดอกคาโนลาในการทอด รสชาติของข้าวแต๋นไรซ์เบอร์รี่และมะม่วงเข้ากันได้ดีจนเกิดรสสัมผัสใหม่ที่น่าสนใจ มันยากที่จะปรุงอาหารบางอย่างเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งได้อย่าง 100% แต่ผมคิดว่าเมนูนี้ใกล้เคียงกับอาหารที่ปราศจากสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยงไม่บริโภค คือ แอลกอฮอล์ สัตว์เนื้อแดง และไขมันอิ่มตัว” เมนูนี้ไม่มีจำหน่ายที่ร้าน เพราะเชฟท็อปตั้งใจสรรค์สร้างเมนูพิเศษนี้เพื่องาน Eat Drink Pink โดยเฉพาะ

ร้านอาหาร ฟรีเบิร์ด ให้บริการอาหารที่รับประทานได้อย่างง่ายๆ ควบคู่ไปกับการบริการที่เข้าถึงได้ ไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นทางการเกินไป คำนึงถึงรสชาติเป็นอันดับแรก ผสมผสานกับความเป็นพื้นบ้าน มีกลิ่นอายชนบท และแฝงความร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน พยายามอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อส่งเสริมผลผลิตจากท้องถิ่นของไทย และวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศบางชนิดที่ควรค่าแก่การนำเสนอ มีวิธีการทำอาหารเรียบง่าย เพื่อรักษาคุณค่าที่แท้จริงของวัตถุดิบหลักเอาไว้ เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีสวนเขียวชอุ่ม ตลอดจนการออกแบบตกแต่งภายในที่ไม่เหมือนใคร

20180821224243437

ไอศกรีมแม็กนั่มตับไก่สีชมพู, ร้าน Haoma

ร้าน Haoma (ฮาโอมา) ร่วมนำเสนอ ไอศกรีมแม็กนั่มตับไก่สีชมพู (Chicken Liver Magnum in pink colour) โดยเอ็กเซ็กคิวทีฟและเจ้าของร้านอาหารฮาโอมา เชฟดีแพงเกอร์ คอสลา (Deepanker Khosla) นำเสนออาหารด้วยตัวเอง

แรงบันดาลใจในการทำเมนูนี้ คือ ‘ไอศกรีมแม็กนั่ม’ ซึ่งเป็นเคล็ดลับความสุขของเชฟ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาในการใช้ชีวิต ว่าถึงแม้ว่าเราควรดูแลสุขภาพของเรา แต่เราก็ควรจะเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาพิเศษและปรนเปรอตัวเราเองให้มีความสุข เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราต่อไป

"เชฟอยากนำเสนอเมนูนี้เพื่อเอาใจผู้ชื่นชอบในความหวานและความอร่อย วัตถุดิบหลักในการทำเมนูนี้คือ ตับไก่ โดยใช้ไก่ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยตามธรรมชาติ และบริโภคหญ้าเป็นอาหาร และผงโกโก้แท้ 100% เมนูนี้จะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณผู้หญิงที่ชื่นชอบของหวาน ซึ่งเมนูนี้จะอร่อยแบบหวานมันและเคลือบด้วยช็อกโกแลต" เชฟดีแพงเกอร์ กล่าวและขยายความถึงเมนูนี้ว่า

“เราให้เกียรติแก่งาน Eat Drink Pink เราจึงทำแม็กนั่มให้เป็นสีชมพู โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่มีวัตถุดิบใดในเมนูอาหารที่เสิร์ฟในครั้งนี้ที่มีสารอาหารต้านโรคมะเร็ง แต่เมนูนี้จะเป็นการนำความสุขและความยินดีมามอบให้แก่ผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าความสุขและกำลังใจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์”

ร้าน ฮาโอมา ยืนกรานเป็นร้านอาหารที่มีความคิดสร้างสรรค์และนำเสนอความคิดใหม่ๆ ในเรื่องของอาหาร ผสานพร้อมกันกับการฝึกปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม มีพันธกิจและมีคำมั่นสัญญาว่า จะร่วมปกป้องสิ่งแวดล้อม ให้ความเป็นธรรมต่อทุกคนที่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อาหาร มีนโยบายกำจัดศัตรูพืชโดยที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล วัตถุดิบสดใหม่ที่มาจากเกษตรกร กลุ่มกสิกร และ ชาวประมง พื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ

20180821224247906

ทูน่า ทาร์ทาร์ และสลัดผักย่าง, ร้าน La Casa Nostra

ร้านอาหาร ลา คาซ่า นอสตรา (La Casa Nostra) เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ร่วมสนับสนุนงาน Eat Drink Pink 2018 ร้านนี้คือผลผลิตของบริษัท เดอะ ไวน์ เมอร์แชนท์ จำกัด ร่วมมือกับเชฟอเลสซานโดร ฟราว (Alessandro Frau) ซึ่งเป็นตำนานแห่งร้านอาหาร อควา (Acqua Restaurant) ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดภูเก็ต

อาหารที่ร้าน ‘ลา คาซ่า นอสตรา’ สะท้อนถึงความรักของเชฟอเลสซานโดรที่มีต่อความเป็นชนบทที่โก้หรู โดยไม่เอนเอียงไปตามกระแสแฟชั่น ใช้ทั้งเทคนิคผสมผสานในแบบโบราณและสมัยใหม่ รวมถึงคุณภาพของวัตถุดิบที่เป็นหัวใจสำคัญ

งานนี้ ลา คาซ่า นอสตรา นำเสนอเมนูสุขภาพ ทูน่า ทาร์ทาร์ และสลัดผักย่าง (Tuna Tartare with Chunky Caponata)โดยมี เชฟนีโน่ สคอนยามีลโล (Nino Scognamillo) เชฟชาวซิซิลีผู้มีประสบการณ์การทำอาหารจากร้านอาหารที่ชื่อเสียงในกรุงลอนดอน เป็นผู้ควบคุมและปรุงอาหารให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เชฟอเลสซานโดรสร้างไว้

20180821224243853

คาเปรเซ่ สลัด, ร้าน Sensi

ใครเป็นแฟนร้านอาหารอิตาเลียน Sensi (เซนสิ) คุณจะได้ชิม คาเปรเซ่ สลัด (Caprese Salad) โดย หัวหน้าเชฟ สเตฟาโน เมอร์โล (Stefano Merlo) นำเมนูสุดคลาสสิกของอาหารอิตาเลียนกลับมาปรุงในรูปแบบที่แตกต่าง ใช้เทคนิคพิเศษทำมะเขือเทศเชอร์รี่ให้เป็นวุ้น และชีสมอสซาเรลล่าให้กลายเป็นโฟมชีส

เชฟสเตฟาโนเลือกทำอาหารจานนี้ “เพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รับประทานแล้วไม่รู้สึกหนักเกินไป เมนูนี้ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัว สีสันสวยงาม วัตถุดิบหลักคือ มะเขือเทศ พืชที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดมะเร็ง อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย”

นี่เป็นเพียง 5 ตัวอย่างรายการอาหารที่คุณจะได้ชิมในงาน Eat Drink Pink 2018 จากอย่างน้อย 35 ร้านอาหารคุณภาพชื่อดัง L’Atelier de Joel Robuchon, Chim by Siam Whisdom, Bo.lan, Suehring, Bunker, Lenzi, LeDu, Baan, Opus, Il Fumo, Issaya Siamese Club, Sri Trat, Cocotte Farm Roast & Winery, Charcoal, Brasserie Cordonnier, Acqua restaurant, La Bottega di Luca, Birds Rotisserie และ Canvas ที่เข้าร่วมงาน

20180821223929004

บรรยากาศและสถานที่ตั้งอาคารสำนักงาน-ห้องฉุกเฉิน โครงการบ้านพิงพัก(Pink Park Village)

“ฉันอยากให้ศูนย์ฯ นี้ เป็นที่พึ่งของผู้หญิง” พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่ รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งทำงานให้ความรู้เพื่อ ป้องกัน รักษา และ ดูแล สตรีผู้ด้อยโอกาส-สตรียากไร้ ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมในไทย เป็นเวลากว่า 20 ปี

จากประสบการณ์อันยาวนาน มูลนิธิฯ ตระหนักถึงความจำเป็นในการมี ‘ศูนย์บำบัดและดูแลผู้ป่วยยากไร้ที่ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างมีคุณภาพ’ เนื่องจากเป็นผู้ป่วยซึ่งขาดทุนทรัพย์และไร้ครอบครัวดูแล

ลองนึกภาพผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ซึ่งยากจนหรือไม่มีเงิน ไร้ญาติพี่น้อง และต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโรคมะเร็ง

“ผู้ป่วยบางคนเดินทางไกลมาจากต่างจังหวัด ยากจน ไม่มีที่พัก ต้องไปอยู่วัด อาศัยนอนใต้สะพาน สถานีรถไฟ พอป่วยหนัก ส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ถูกทิ้งให้เสียชีวิตอย่างทรมาน หรืออย่างที่ผมไปเจอผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายอยู่ในสลัม เธอเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาผม เนื่องจากยากจน ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่” รศ.นพ.กฤษณ์ เล่าประสบการณ์

ภาพอันน่ารันทดใจเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้มูลนิธิฯ ริเริ่มโครงการ บ้านพิงพัก(Pink Park Village) บนที่ดินแถบมีนบุรีที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้ในปีพ.ศ.2551 เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายแก่ผู้ยากไร้และศูนย์วินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมอย่างครบวงจรดำเนินงานโดยทีมแพทย์พยาบาล จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ เภสัชกร นักโภชนาการและอาสาสมัคร

‘บ้านพิงพัก’ ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายหมู่บ้านในสวนเรียบง่าย แวดล้อมด้วยร่มเงาของธรรมชาติ มอบความรู้สึกอบอุ่น สบายกาย-ใจ และเป็นโครงการไม่แสวงหาผลกำไร

20180821223928297

มุมหนึ่งภายในหอดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ไร้ญาติ

20180821223608193

รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ

"ไม่ใช่แค่ให้ผู้ป่วยมานอนบนเตียง แต่ ‘บ้านพิงพัก’ มีหมอมารักษา มีข้าวมียาให้กิน ดูแลเหมือนเขาเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ให้ผู้ป่วยที่ยากไร้สามารถใช้ชีวิตระยะสุดท้ายอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดคือฟรี เขาไม่ต้องเสียเงินใดๆ เลย” รศ.นพ.กฤษณ์ กล่าว

เดือนตุลาคม พ.ศ.2561 บ้านพิงพัก จะเปิดให้บริการในเฟสแรก ในส่วนของหอดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ไร้ญาติ (Hospice) และ หอฟื้นฟูผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษา (Convalescence)

ความมุ่งหวังที่จะตอบสนองความจำเป็นดังกล่าวในสังคม จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน

20180821224245716

เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้, เชฟนีโน่ สคอนยามีลโล, เชฟพงศ์ชาญ รัสเซล, เชฟสเตฟาโน เมอร์โล, เชฟดีแพงเกอร์ คอสลา

นักชิมผู้มีจิตกุศล ร่วมสนับสนุน บ้านพิงพัก ได้ด้วยการเข้าร่วมงาน Eat Drink Pink 2018 ใน วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ณ ห้องสกุณตลา บอลรูม โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ เวลา 19.00-22.00 น. สอบถามและซื้อบัตรเข้าร่วมงานราคา 3,000 บาทสุทธิ/ท่าน โทร.0 2020 2888 หรืออีเมล [email protected] รายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อใช้ในการก่อสร้างและดำเนินงาน ‘บ้านพิงพัก’

ยังมีเวลาชักชวนและนัดเพื่อนร่วมก๊วนอีกสี่สัปดาห์เต็มๆ