สวนพฤกษศาสตร์ และความตั้งใจอันแรงกล้าของสิงคโปร์
สวนพฤษศาสตร์ที่เป็นมากกว่าสวนสาธารณะ แต่คือรากฐานของวิสัยทัศน์การสร้างสิงคโปร์สู่ Garden City ของการสร้างวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ที่ดีของคนสิงคโปร์
หนึ่งวันที่เหลือหลังจากทริปทำงานที่สิงคโปร์ ขอใช้เวลาไปกับพื้นที่สีเขียวในเมืองหลวงแห่งธุรกิจ ขณะที่หลายคนอาจเลือกเดินห้าง ชอปปิง ไปกินอาหารหลากสัญชาติตาม Hawker ศูนย์อาหารใต้ตึก แหล่งอาหารของชุมชน (ที่ทางสิงคโปร์กำลังเสนอเป็นมรดกโลก ด้วยเหตุว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ไม่มีที่ไหนในโลก – ดูเอาเถิด ว่าทุกเรื่องของเขาถูกวางแผนเพื่อเพิ่มมูลค่าไปหมด) อีกหลายคนคงจะทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์มีการจัดการพื้นที่สีเขียวที่ดีขนาดไหน และวันนี้เราก็เลือกไปเดินสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ หรือ Singapore Botanic Gardens อันโด่งดัง เพราะได้ยินว่าเพื่อนๆ บอกกันมาว่าดีมาก สายเดินสวนจะต้องชอบ
นั่งรถไฟใต้ดิน MRT สาย Circle Line ไปลงสถานี Botanic Gardens เดินจากสถานีนิดเดียวก็ถึงสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site)
เมื่อแรกที่เดินเข้าไปไม่กี่ร้อยเมตร อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนให้ราคามากไปหรือเปล่า เพราะดูไม่ต่างจากสวนลุมฯ บ้านเรานี่นา แต่เมื่อยิ่งเดินเข้าสำรวจลึกเข้าไป ได้เห็นบริเวณต่างๆ มากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนความคิด แล้วความรู้สึกทึ่งก็ค่อยๆ ทวีคูณตามลำดับ
สวนในสวน
หากเดินมาจากทางเข้าฝั่ง MRT สถานี Botanic Gardens จะได้เจอกับสนามหญ้ากว้างใหญ่เป็นเนินขึ้นลงสวยงาม สลับกับกลุ่มไม้พุ่มและไม้ดอกที่จัดสไตล์สวนอังกฤษ ม้านั่งและศาลาขนาดย่อมจัดวางไว้เป็นระยะๆ เพียงพอต่อคนเดินสวน เมื่อยเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องเสียเวลาหาที่นั่งนาน แล้วยังได้พบกับสระน้ำ Eco-Lake ที่เลียนแบบระบบนิเวศตามธรรมชาติ มีนก เต่า และหงส์ดำโชว์ตัวอยู่อย่างไม่กลัวคน ป้ายที่ติดห้ามให้อาหารและจับต้องสัตว์ ก็ถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้จะมีเด็กๆ เข้ามาดูสัตว์ไม่น้อย แต่ผู้ปกครองก็ดูแลอย่างดี ไม่มีใครละเมิดข้อห้ามของป้ายเลย
เราไปถึงสวนบ่ายวันเสาร์ในหน้ามรสุม เมฆหนาท้องฟ้าปิด เหมือนจะไม่มีแดดแรง แต่เมฆกลับกระจายแสงจ้าชวนแสบตา แถมอากาศชื้น อาจเป็นเพราะต้นไม้มากมายที่พากันคายน้ำออกมาด้วย ทำให้อบอ้าวจนเหงื่อซึม ใครจะมาเดินที่นี่ ก็สวมหมวก แต่งตัวสบายๆ เตรียมระบายความร้อนให้ดี
ในพื้นที่กว้างขวางของสวนพฤกษศาสตร์นี้ มีสวนน้อยใหญ่มากมาย แบ่งเป็นไฮไลต์ คือสวนกล้วยไม้ สวนป่าสำหรับศึกษาธรรมชาติ สวนพันธุ์ไม้มหัศจรรย์สำหรับเด็กๆ (The Amazing World of Plants) ที่ออกแบบสวนไปกับเครื่องเล่นดูสดใส น่าสนุก เหมาะกับเด็กๆ และสวนธีมตามประเภทของพันธุ์ไม้
สวนธีมต่างๆ นี่ดูเพลินมาก มีทั้งการจัดสวนเฉพาะพันธุ์ไม้ในพื้นที่เล็กๆ เช่น สวนเครื่องเทศและสมุนไพร (Herbs and Spices) หรือสวนไม้เลื้อย (Trellis Garden) ที่ให้เดินผ่านซุ้มไม้เลื้อยเข้าไปพบเถาต้นไม้ต่างๆ ออกแบบการเลื้อยไว้สวยงาม
และโซนที่กั้นพื้นที่ไว้กว้างเป็นพิเศษ เช่น สวนไม้ใบ (Foliage Garden) ถูกใจคนที่ชอบไม้ใบรูปร่างต่างๆ สวนดอกไม้หอม (Fragrant Garden) ที่มีดอกไม้กลิ่นหอมต่างๆ มากมาย สวยทั้งรูปจูบก็หอม สวนพืชตระกูลขิง (Ginger Garden) รวมญาติต้นไม้ตระกูลขิงข่าซึ่งมีสายสาแหรกแตกได้กว่า 3,000 สปีชี่ส์ ที่ไม่ใช่แค่เครื่องเทศ แต่ยังหมายถึงดอกไม้สวยๆ เช่น ดอกดาหลา ที่คุ้นตาด้วย
สวนบำบัด (Healing Garden) เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ที่เป็นยารักษาโรคต่างๆ จากวัฒนธรรมทั่วโลก ติดป้ายชื่อ สายพันธุ์ และประโยชน์ในการบำบัดรักษาของพันธุ์ไม้กว่า 400 สายพันธุ์ นอกจากเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญของพืชสมุนไพรแล้ว ยังออกแบบพื้นที่สวนให้สงบสบาย น่านั่งพักผ่อนคลายจิตใจด้วย
สวนวิวัฒนาการ (Evolution Garden) ซึ่งรวมเอาพันธุ์ไม้ดึกดำบรรพ์ออกแบบในบรรยากาศเหมือนเดินย้อนกลับไปช่วงบรรพกาล สัมผัสได้ถึงพืชที่วิวัฒน์ตัวเองไปตามเวลาที่เปลี่ยนไป และได้รู้จักว่าต้นไม้บางพันธุ์ที่เราเห็นจนเจนตานั้น เป็นสายพันธุ์อันเก่าแก่ที่พาตัวเองยืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้
ระหว่างทางเดินเยี่ยมชมโซนต่างๆ เราประทับใจการออกแบบการเดินและทางเดินในสวนที่มีระเบียบ สวยงาม หลากหลาย ไม่น่าเบื่อ ภูมิประเทศของสวนที่เป็นเนินเขาขึ้นลงตลอดเวลา มีทั้งทางเดินที่เป็นอิฐสีแดง ทางเดินที่เป็นระเบียงไม้ระหว่างกลุ่มไม้เลื้อยต่างๆ ระเบียงนั่งพักที่ผสานกลมกลืนกับพื้นที่ ป้ายบอกทางชัดเจน ป้ายข้อมูลพันธุ์พืช ป้ายข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ห้องน้ำสะอาด (แถมติดแอร์) จุดเติมน้ำดื่มที่น่าวางใจ ถังขยะสะอาดสะอ้าน ไม่ต้องกังวลมองหาที่ทิ้งขยะ คือถ้าอยากให้เรารักษาความสะอาด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็ควรอำนวยความสะดวกไว้ให้ ทุกรายละเอียดอาจไม่ได้มีคนสังเกตมาก ถ้าไม่ทักขึ้นมาอาจไม่รู้สึก เพราะเขาตั้งใจทำให้คนใช้พื้นที่อย่างสบายๆ ไม่ต้องรู้สึกถึงความไม่สะดวกแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่าง คือการมีสวนป่าแบบป่าจริงๆ อยู่ในสวนสาธารณะที่สร้างด้วยมือคน สวนป่าฝนเขตร้อน (Rain Forest) นี้ถูกรักษาสภาพให้เป็นป่าดงดิบจริงๆ คาดว่าน่าจะอนุรักษ์ไว้จากป่าดั้งเดิมตั้งแต่แรก มีทั้งป่าที่ปูทางเดินเป็นระเบียงไม้ให้เดินชมสบายๆ ในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร โซนนี้ไม่มีไฟฟ้าตามทางเดิน จึงไม่แนะนำให้เดินหลังพลบค่ำ หากต้องการเดินจริงๆ ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างมาเอง และดูแลตัวเองดีๆ ด้วย
เดินมาถึง สวนกล้วยไม้ (National Orchid Garden) ไฮไลต์ของที่นี่ห้ามพลาดจริงๆ แม้ต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่ม สำหรับเราซึ่งไม่ใช่แฟนกล้วยไม้ และออกจะเบื่อๆ วิธีการจัดแสดงแบบแขวนกล้วยไม้เรียงกันเป็นพรืด เมื่อเข้าไปด้านในแล้วถึงกับทึ่งในวิธีการออกแบบและจัดแสดงกล้วยไม้นานาพันธุ์ เพราะช่างวิจิตรตระการตา ทั้งมีระเบียบ ทั้งมีจริตงดงามทุกอณู
อย่าคิดว่าจะได้เห็นกระถางพลาสติกสำหรับต้นไม้รากอากาศหลุดมาให้ขัดใจ แม้แต่กล้วยไม้พันธุ์ธรรมดาที่เราเห็นได้ตามตลาด (จัดเข้าช่อพร้อมไว้พระในราคาย่อมเยา) ยังถูกจัดเรียงอย่างเลอค่า มีมุมจัดแสดงกล้วยไม้ร่วมกับโครงสร้างกึ่งประติมากรรมหลายจุดที่คนชื่นชอบ ถึงกับต้องรอคิวถ่ายรูปกันทีเดียว
นอกจากสวนซึ่งออกแบบไว้สวยงามแล้ว ในโซนสวนกล้วยไม้ ยังมีอาคารแห่งประวัติศาสตร์สำคัญ อย่าง Burkill Hall ซึ่งจุดสังเกตให้เดินขึ้นไปก็คือต้นหลิวที่แผ่กิ่งก้านในฟอร์มที่สวยงามสะดุดตา
มรดกโลกจากยุคอาณานิคม
บนความทรงจำของการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ สถาปัตยกรรมและการวางโครงสร้างเมืองตามแบบฉบับอังกฤษถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม และต่อยอดประวัติศาสตร์นั้นมาสู่ความร่วมสมัย ไร้นายพล ไร้ผู้ตรวจการมากอำนาจจากประเทศเจ้าอาณานิคม อาคารงดงามดังคฤหาสน์เปลี่ยนมือมาสู่รัฐ และกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องยำเกรง อย่างที่เราเคยไปเยี่ยมชม National Gallery - พิพิธสถานแห่งชาติสิงคโปร์จึงดูงดงามโอ่อ่าสมคำว่า “แห่งชาติ” แต่ก็มีบรรยากาศสบายๆ แบบเข้าถึงได้ และเปิดกว้างต่อทุกคน
สถาปัตยกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ก็เช่นกัน เป็นมรดกตกทอดมาจากศตวรรษที่ 18 อย่าง Burkill Hall (1868) บ้านพักของผู้อำนวยการและผู้ดูแลสวนพฤกษศาสตร์มาตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นลักษณะบังกะโลลูกผสมแองโกล – มาลายัน สไตล์อันสืบเนื่องมาจากยุคอังกฤษปกครองประเทศแถบคาบสมุทรมาลายู อย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ อาจเป็นอาคารเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในภูมิภาคนี้ บางทีอาจเป็นแห่งเดียวในโลกด้วยซ้ำ รวมถึง Ridley Hall (1882) , E J H Corner House (1910) และ Holttum Hall (1921) ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
เพราะผ่านการซ่อมแซมและรักษาโครงสร้างของอาคารต่างๆ มาอย่างดี รวมถึงผ่านการรื้อฟื้นให้กลับมาสู่สภาพดั้งเดิมตามการตรวจสอบข้อมูลทางประวัติศาสตร์โดยละเอียด บางอาคารมีการทาสีผิดแบบจากของต้นฉบับ ก็จัดการปรับปรุงให้คืนสภาพ เพราะนี่คืองานสำคัญที่ทำมาตั้งแต่ตอนที่ทางสวนพฤกษศาสตร์ยื่นขอเป็นมรดกโลก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าบางประเทศที่มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอุดมยิ่งกว่าสิงคโปร์ แต่ไม่ได้มีการยื่นขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมากเท่าที่ควรจะเป็น ก็เพราะกระบวนการศึกษาและรักษาสภาพให้สมบูรณ์ตรงตามประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่ง่าย แต่สิ่งนี้สิงคโปร์ยินดีลงทุนทำ เพราะการเป็นมรดกโลก สำคัญต่อการท่องเที่ยว และการสร้างรากฐานทางวัฒนธรรมให้ประเทศ
แหล่งเพาะพัฒนาพันธุ์พืช
วิสัยทัศน์การสร้างพื้นที่สีเขียวของสิงคโปร์มีมาอย่างยาวนาน สวนพฤกษศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการเพาะพันธุ์ วิจัยทดลอง เก็บรวบรวมพันธุ์พืช และพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์การวางรากฐานสิงคโปร์สู่ Garden City ของนายกรัฐมนตรี ลีกวนยู มาตั้งแต่แรกเริ่ม จนถึงวันนี้ก็ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่มีพื้นที่เล็ก ประเทศสิงคโปร์จึงจัดการพื้นที่สาธารณะได้อย่างเบ็ดเสร็จ และออกมาดี แถมยังกล้าประกาศความเป็นศูนย์ศึกษาด้านพฤกษศาสตร์ ไม่ใช่เพราะมีพื้นที่ป่ามาก แต่เป็นการจัดการอย่างมีระบบ สิ่งนี้สัมผัสได้จากต้นไม้ใหญ่รอบเมือง โครงการ Garden by the Bay และโครงการต่างๆ ที่ได้โปรโมทเพื่อการท่องเที่ยว (และการใช้ชีวิตของพลเมือง) ในระยะไม่กี่สิบปีนี้ ล้วนแต่มาจากการวางแผนและการศึกษาผ่านสวนพฤกษศาสตร์อันเก่าแก่แห่งนี้
สวนและคน
เราจะดูว่าเมืองให้ความสำคัญกับคนจากที่ไหน คุณภาพชีวิตจะถูกวัดจากอะไร? จากทางเท้าที่ดี มีการจัดวางเฟอร์นิเจอร์สาธารณะที่คำนึงถึงการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล จากขนส่งมวลชนที่ทำให้เราสะดวกสบาย ถนนหนทางที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรถมากกว่าคน พื้นที่สีเขียวที่ออกแบบดีทุกตารางนิ้ว ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้พบได้ที่สิงคโปร์
มีเพื่อนเคยบอกว่าสิงคโปร์เป็นเมืองทุนนิยม เป็นประเทศสร้างใหม่ ที่พยายามถมตัวเองให้เต็มด้วยการลงทุนต่างๆ เช่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย เพื่อให้คนเดินหน้าทำงาน พัฒนาประเทศ ตั้งแต่คนรุ่นบุกเบิกประเทศสิงคโปร์ยุคใหม่ ส่งผลให้คนรุ่นใหม่มีหน้าที่การงานดี ไม่ต้องพะวักพะวงถึงเรื่องปากท้องพื้นฐาน สามารถทำงานและใช้เงินกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็ทำให้พวกเขารู้สึกกลวงเปล่าว่างโหวงอยู่เหมือนกัน คนสิงคโปร์ที่เติบโตมาแบบนี้ อาจไม่ได้ตระหนักว่าความพยายามเติมเต็มนี้มันสำคัญขนาดไหน
แต่คนไทยที่มาจากประเทศอันรุ่มรวยวัฒนธรรมและความทรงจำของชาติ แต่ขาดการจัดการที่ดีนั้น มองเห็นความตั้งใจและความใส่ใจอย่างมากที่รัฐมีต่อประชาชน ในทางหนึ่งรัฐก็ควบคุมคนของเขาอย่างเข้มงวด แต่พอเห็นทางเท้าเอย รายละเอียดต่างๆ ที่พื้นที่สาธารณะมอบให้ (ไม่มีหรอกนะ ทางเท้าที่กระเบื้องปูพื้นกระดกไปมา พร้อมที่จะสาดน้ำขังให้กระเด็นใส่ขา) ก็ต้องยอมรับว่าความเข้มงวดนั้นสำคัญ และเราต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ใส่ใจคนอยู่อาศัยจริงๆ แม้ว่าความยุ่งวุ่นวายของเมืองไทยหรือโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จะมีเสน่ห์ที่ใครก็เทียบได้ยาก แต่เราก็เชื่อว่าความใส่ใจกับเสน่ห์สามารถมาเจอกันครึ่งทางได้ ถ้าใช้ความคิดมากๆ นะ
สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ คือสิ่งหนึ่งที่สะท้อนการให้ความสำคัญกับประชาชน ในฐานะเป็นแหล่งการเรียนรู้และพื้นที่หย่อนใจ เราเห็นคนสิงคโปร์มากมายพาลูกหลานมาเดินเล่น เห็นหนุ่มสาวคนทำงานวิ่งออกกำลังกายในสวน เห็นวัยรุ่นมานั่งคุยกันเป่าเค้กวันเกิดกันริมสระน้ำ การใช้ชีวิตธรรมดาๆ ได้อย่างสบายใจนี่แหละ สำคัญ
สวนกับวัฒนธรรม
ทุกสุดสัปดาห์จะมีการแสดงซิมโฟนีในสวนที่เวที (Shaw Foundation Symphony Stage) กลางสระน้ำ (Symphony Lake) ไม่ไกลจากสวนกล้วยไม้ พื้นที่นั่งชมก็คือเนินหญ้าสีเขียวภูมิทัศน์สวยของ Palm Valley มองจากหน้าสวนกล้วยไม้ลงไป ร้อยทั้งร้อยก็ต้องยกกล้องมาถ่ายภาพ อยากไปเดินเล่นและนอนกลิ้งเกลือกในปาล์มวัลเล่ย์ เย็นวันเสาร์ที่เราไปวงซิมโฟนีเยาวชนกำลังซ้อมก่อนแสดงจริงช่วงค่ำ ผู้ชมซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ปกครองและเพื่อนๆ ของนักดนตรี เตรียมตัวมาดี มีเสื่อปูรองนั่งพร้อม เพราะสนามหญ้าฉ่ำน้ำจนไม่อาจนั่งลงได้โดยตรง เวิ้งที่เป็นแอ่งตรงกลางพอดีของเวทีกลางน้ำ ให้บรรยากาศสงบ แค่นั่งลงฟังเสียงดนตรีจิตใจก็อิ่มฟูรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก
นี่ก็คืออีกวิสัยทัศน์ของนายกลีกวนยูอีกเช่นกัน ที่มีมาตั้งแต่ปี 1959 ทางสวนฯ ได้จัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมของประเทศ คนส่วนมากว่าคนสิงคโปร์เก่งแต่ธุรกิจการค้า ไม่มีสุนทรียะทางศิลปะ ก็อาจจริงส่วนหนึ่ง แต่เพราะคิดถึงความสมดุลเรื่องนี้ จึงมีการปลูกฝังด้านศิลปวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ในหลายแง่มุม ดนตรีจึงถูกหลอมเข้ากับการเดินเล่นในสวนอย่างแนบเนียน ถึงตอนนี้ผ่านมาหลายสิบปี คนสิงคโปร์ที่ได้ชื่อว่ายิ้มยาก ไม่มีหัวศิลปะ กลับกลายเป็นพลเมืองในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ชมศิลปะและการแสดงดนตรีระดับโลกมากมาย และสร้างศิลปินเก่งๆ ได้ตั้งหลายคน
สวนแห่งนี้มีคนมาเยี่ยมชมมากกว่า 4 ล้านคนต่อปี ถือเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่มีคนมาเที่ยวมากที่สุดในโลก ที่มีคนมากันมากขนาดนี้ เกิดจากการพูดปากต่อปากของคนที่มาแล้วรู้สึกได้ว่า Singapore Botanic Gardens มีดีมากกว่าสวนจริงๆ
///////////////////
Singapore Botanic Gardens
เปิดทุกวัน 5.00 น. – 24.00 น.
ยกเว้น สวนกล้วยไม้ เปิด 8.30 น. – 19.00 น.
และสวน Amazing World of Plants สำหรับเด็ก เปิด 8.00 น. – 19.00 น.