I am my own wife ละครชีวิตจริงเหนือจริงของคุณยายกระเทยแห่งสาธารณรัฐไวมาร์
จากละครบรอดเวย์ชื่อ I am My Own Wife ของดั๊ก ไรท์ (Doug Write) ผู้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ สู่การแสดงอันน่าทึ่งของเจมส์ เลเวอร์ ซึ่งสามารถชมได้ที่นี่
ได้ไปดูการแสดงละครโปรดักชั่นเล็กๆ โดยคณะ Peel the Limelight เป็นการแสดงเดี่ยวโดยนำบทจากละครบรอดเวย์ชื่อ I am My Own Wife ของดั๊ก ไรท์ (Doug Write) ผู้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ปี 2004 สาขาการละคร จากละครเรื่องดังกล่าว ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องจริง
ไรท์เขียนขึ้นจากการสัมภาษณ์ ชาลอตเทอ - Charlotte von Mahlsdorf หรือชื่อแต่กำเนิดคือ Lothar Berfeld หรือคุณยายกระเทย (Tranny Granny) ผู้โด่งดังในประวัติศาสตร์ LGBT ของเยอรมนี ชาลอตเทอ เป็นผู้ก่อตั้ง Grunderzeit Museum พิพิธภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์เก่า ซึ่งเก็บสะสมข้าวของสารพัดสิ่งในชีวิตประจำวันของชาวเยอรมันตะวันออก จากยุคสงครามครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเย็น
ชีวิตของชาลอตเทอเต็มไปด้วยเรื่องราวผาดโผน ขมขื่น ชวนฝัน และเป็นปริศนา ทั้งฆ่าพ่อตัวเองที่เป็นทหารนาซี ผู้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว เขาเติบโตมากับแม่และน้าสาวที่หัวใจและบุคลิกเป็นชาย แถมยังเป็นกระเทยที่สามารถเปิดคาบาเร่ต์อยู่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์ได้ในสาธารณรัฐไวมาร์ ทั้งถูกข้อหาขายสินค้าในตลาดมืด (ผ่านการแลกเปลี่ยนสินค้าแอนทีค) ทั้งการเป็นสายลับขายข้อมูลให้กองทัพสตาซีในช่วงสงครามเย็น ทั้งมีข่าวลือว่าขายข่าวชายคนรัก ทำให้เขาต้องติดคุก ท่ามกลางชีวิตที่ขึ้นลงเหมือนหมุนอยู่ใจกลางตาพายุ บันปลายชีวิตได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของเมือง แต่ก็ถูกถล่มด้วยข่าวอื้อฉาวที่ทยอยเปิดโปงออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องไหนจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ชาลอตเทอถูกคุกคามรุนแรงโดยกลุ่มนีโอนาซี จนต้องลี้ไปอยู่สวีเดนหลายปี และกลับมาเสียชีวิตที่บ้านเก่า หลังจากกำแพงเบอร์ลินถูกทุบไปแล้ว 13 ปี
ชาลอตเทอเป็นกระเทยที่อยู่รอดมาจากยุคแห่งการกดขี่และเหยียดเพศอย่างรุนแรงที่สุดในศตวรรษที่ 20
บทละครนี้เขียนขึ้นเมื่อดั๊ก ไรท์ได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น และได้พบว่าชีวิตของชาลอตเทอน่าสนใจมากๆ ควรนำมาเขียนหนังสือ หรือทำงานบทละครต่อ เขากลับไปสัมภาษณ์ชาลอดตเทอถึงเบอร์ลินหลายต่อหลายครั้ง บทละครนี้ไม่ได้เขียนแต่เรื่องราวของชาลอตเทอเท่านั้น แต่ยังเล่าเรื่องการพบปะเพื่อสัมภาษณ์ชาลอตเทอ การทำงานของเขา การดิ้นรนของศิลปินที่ต้องเจรจาของทุน สลับกับฉากชีวิตของชาลอตเทอในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งเมื่อเป็นบทละครเพื่อการเล่นคนเดียว ก็หมายถึงผู้เล่น (ก็คือดั๊ก ไรท์ เองในเวอร์ชั่นต้นฉบับ) ต้องเล่นเป็นบทบาทต่างๆ สลับกันฉับพลันหมุนเปลี่ยนถึง 30 คาแรคเตอร์ (และพูดบทสนทนาด้วยภาษาเยอรมัน อังกฤษ ในสำเนียงต่างๆ กัน)
สำหรับเวอร์ชั่นที่ทาง Peel the Lime Light นำมาจัดแสดงนั้น แสดงโดย เจมส์ เลเวอร์ (James Laver) นักแสดงหนุ่มที่จบปริญญาโทสาขาคณิตศาสตร์และปรัชญาจากเคมบริดจ์ ก่อนที่จะไปเรียนการแสดงต่อที่ The Oxford School of Drama อีก 3 ปี เจมส์แสดงเดี่ยวในบทบาทต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่งมาก
ภายในโรงละครเล็กๆ บนชั้น 2 ของอาคารจัสมิน ซีตี้ สุขุมวิท 23 นั้น เป็นห้องเล็กๆ ที่จุคนได้ราว 50 คนเท่านั้น เวทีง่ายๆ อยู่ตรงกลาง กับเก้าอี้ผู้ชมที่นำมาเรียงรอบกันเป็นตัวยู ลดหลั่นกันเพียง 2 - 3 ชั้น เวทีไม่ได้ยกพื้นมีเพียงโต๊ะตรงกลาง กับของประกอบฉากไม่กี่ชิ้นที่พร้อมจะนำมาเล่นประยุกต์ได้กับทุกฉาก เช่นงานโปรดักชั่นเล็ก ซึ่งไม่ต้องลงทุนมาก แต่การแสดงนั้นน่าจะเรียกได้ว่าลงทุนลงแรงระดับรีดหยาดเหงื่อ น้ำตา ชีวิต และจิตวิญญาณออกมาเลย
รสชาติที่ไม่คุ้นเคยทำให้ช่วงแรกของการชมนั้นต้องพยายามปรับการรับชมและประมวลผลอยู่พักใหญ่ ต่อเมื่อเรื่องราวที่ตัดสลับกันค่อยๆ ลำดับเรียงเข้ามาในหัว เราก็ค่อยๆ ถูกการแสดงของเจมส์ม้วนสติและสมาธิไปจดจ่อกับทุกอิริยาบถที่เขาเคลื่อนไหว มันช่างมีความหมายไปเสียทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็ถูกดูดไปกับเรื่องราวชีวิตของชาลอตเทอ ที่ทั้งสมจริงและเหนือจริง เป็นบุคคลที่เหมือนอยู่ท่ามกลางวังวนของความขัดแย้ง ทั้งสภาพสังคม การเมือง และการที่จะมีชีวิตให้รอด อยู่ในโลกที่เธอรักพยายามทำทุกสิ่งให้ละเมียดละไม เป็นระเบียบ กล่อมเกลาชีวิตให้รื่นรมย์ด้วยเสียงดนตรี และงานฝีมือจากเครื่องเรือนเก่าแก่ที่เป็นชีวิตจิตใจของเธอ
บางทีร่างทรงของชาลอตเทอก็ยังคงดำเนินต่อไปในหลายชีวิตที่ดำรงอยู่
ชาลอตเทอเป็นกระเทยที่อยู่รอดมาจากยุคแห่งการกดขี่และเหยียดเพศอย่างรุนแรงที่สุดในศตวรรษที่ 20 เธอเป็นคนจริงใจหรือเป็นคนลวงโลก บางทีดั๊ก ไรท์ ผู้สัมภาษณ์ ผู้เขียน ผู้ถ่ายทอดออกมาเป็นละคร และสวมบทบาทเป็นตัวเธอ ก็อาจยังไม่รู้คำตอบนี้ แต่จริงๆ แล้วความจริงอาจไม่ใช้คำตอบที่ถูกที่สุดก็ได้ สำหรับในสถานการณ์บ้านเมืองในแต่ละยุค การ “อยู่เป็น” คงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
การแสดงจบลงแบบมีน้ำตาซึม และผู้ชมก็ปรบมือให้เนิ่นนาน เรื่องราวของชาลอตเทอวนเวียนมีน้ำหนักอยู่ความคิดคำนึง แต่ชีวิตของเธอผ่านมาแล้ว มันไม่ง่าย แต่ก็จบลงแล้ว (ขอพระเจ้าอวยพร) การที่ Peel the Limelight จัดแสดงโชว์นี้ในเมืองไทยในช่วงเวลานี้ ชวนให้เรารู้สึกว่า สงครามเย็นยังคงอยู่ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป และบางทีร่างทรงของชาลอตเทอก็ยังคงดำเนินต่อไปในหลายชีวิตที่ดำรงอยู่
เดินออกมาชื่นชมการแสดงของเจมส์ เลเวอร์ เช่นเดียวกับผู้ชมเกือบทุกคน เรานึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาแสดงขนาดนั้นได้อย่างไร แต่สำหรับตัวเจมส์แล้ว เพราะการเรียนการแสดงมาอย่างเป็นระบบ ประสบการณ์ และการฝึกหนักนั้นทำให้เขาทำได้ “มันทำได้ครับ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย” เจมส์บอก แต่เราก็ทึ่งมากอยู่ดี ลองคิดดูว่าบทพูดภาษาอังกฤษสลับกับเยอรมัน อยู่ในบุคลิกที่แตกต่างกันสลับกันไปมา ทำให้เรารู้แบบไม่ต้องคิดนานว่าเขากำลังอยู่ในบทไหนและคนพูดเป็นคนอย่างไร กับการแสดงที่ยาวถึง 3 ชั่วโมง (มีพักครึ่ง 10 นาที)
โปรดักชั่นน้อย แต่คิดเยอะ บวกการแสดงจริงจังหนักแน่นอย่างนี้ไม่น่าพลาด อย่าคิดว่าเป็นแต่เรื่องขมๆ และเนื้อหาเยอะ เพราะท่ามกลางความขมก็มีความหวาน ความชวนหัว และความสนุกที่ซึมซาบอยู่ตลอด
* การแสดงชุด I am My Own Wife เพิ่มรอบการแสดงอีก 2 รอบคือ ศุกร์ที่ 15 และเสาร์ที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 20.00 น. จองบัตรได้ที่ www.peelthelimelight.com ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook: peelthelimelight