ราคาน้ำมันดิบปิดทะลุ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดตลาดวันจันทร์ (24ก.ย.) ปรับตัวขึ้นุกว่า 72 ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะยานกว่า 3% ทะลุ 81 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปี 2557 ท่ามกลางภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตัดสินใจคงกำลังการผลิตน้ำมัน โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.8%  ปิดที่ราคา 72.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ พุ่งขึ้น 2.50 ดอลลาร์ หรือ 3.2%  ปิดที่ราคา 81.20 ดอลลาร์/บาร์เรล

คณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (เจเอ็มเอ็มซี) ของโอเปก และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงรัสเซีย ได้จัดการประชุมที่แอลจีเรียเมื่อวันอาทิตย์ (23ก.ย.) โดยเห็นพ้องให้คงกำลังการผลิตที่ระดับปัจจุบัน แม้สหรัฐพยายามเรียกร้องให้โอเปกเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันก็ตาม

นายซูเฮล โมฮัมหมัด อัล มัสรูอี ประธานการประชุมเจเอ็มเอ็มซี กล่าวว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปัจจุบัน มีเพียงพอต่อการรักษาตลาดน้ำมันโลกให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ พร้อมระบุว่า โอเปกสามารถควบคุมและรักษาสมดุลของตลาดน้ำมันโลกในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มหรือลดปริมาณการผลิตจึงไม่มีความจำเป็น

ด้านนายฮอสเซน คาเซมปูร์ ตัวแทนของอิหร่านประจำโอเปก กล่าวว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมีสาเหตุมาจากการส่งทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหากปธน.ทรัมป์ยุติการส่งข้อความทางทวิตเตอร์ ก็จะช่วยให้ราคาน้ำมันลดลง

“รัฐบาลทรัมป์กำลังนำเรื่องการเมืองเข้าสู่โอเปก และมีเป้าหมายที่จะสร้างความแตกแยกในโอเปก และแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง โดยการทำให้ราคาน้ำมันลดลง” นายคาเซมปูร์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์โอเปกหลายครั้งว่าได้จงใจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และได้เรียกร้องให้โอเปกทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่โอเปก ปฏิเสธข้อกล่าวหาของปธน.ทรัมป์ โดยระบุว่า โอเปกมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสมดุล และสร้างเสถียรภาพต่อตลาดน้ำมัน