‘รัสเซีย’ เชียร์สุดใจไปสักครั้ง!

‘รัสเซีย’ เชียร์สุดใจไปสักครั้ง!

ถนนทุกสายมุ่งสู่รัสเซียอย่างน้อยก็ในช่วงสองเดือนนี้ แต่ไม่ว่าจะเชียร์ทีมไหน เชื่อเถอะ...ประเทศนี้ยังเป็นจุดหมายที่ท้าทายเสมอ

ฟุตบอลโลก 2018 เปิดสนามไปแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กรกฎาคม 2018 โดยมีประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพรอต้อนรับทั้งแฟนบอลและนักท่องเที่ยว ช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีๆ ที่รัสเซียจะได้หว่านเสน่ห์ โชว์ของดีให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็น

สำหรับฉันไปรัสเซียมาแล้ว 3 ครั้ง ใน 3 ฤดู ฤดูร้อนราวเดือนสิงหาคม ก่อนฤดูใบไม้ผลิเดือนเมษายน และในช่วงหน้าหนาวเดือนธันวาคม ถ้าถามว่าไปรัสเซียกี่ครั้งถึงจะพอตอบได้ทันทีว่า กี่ครั้งก็ไม่เคยพอ นี่ขนาดยังไม่เคยเดินทางออกไปยังเมืองข้างเคียง เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ในมอสโควและเซ็นปีเตอร์สเบิร์กเป็นหลัก ฉันยังชอบที่นี่มากจนอยากเชียร์ให้ใครๆ ได้ลองไปสักครั้ง

ยิ่งเมื่อรัสเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนี้ ชื่อเมืองอีก 9 เมืองของรัสเซียที่ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน (นอกเหนือจากมอสโควกับเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ยิ่งทำให้ฉันสนใจอยากรู้จักรัสเซียมากขึ้นไปอีก แม้จะยังออกเสียงชื่อเมืองเหล่านั้นไม่ได้เลยก็ตาม Samara, Yekaterinburg, Rostov-on-Don, Sochi, Saransk, Kaliningrad, Volgograd, Nizhny Novgoraod และ Kazan

เมืองที่ถูกเลือกเหล่านี้มีจุดเด่นและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่แพ้เมืองใหญ่อย่างมอสโควและเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กแน่ๆ แต่ก่อนจะไปไกลกว่านั้น ฉันว่าเรามาอุ่นเครื่องทบทวนสถานที่เที่ยวในมอสโควเมืองหลัก และการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในรัสเซียกันสักหน่อยดีกว่า

1

ต้นทางที่มอสโคว

มอสโคว (Moscow) เป็นเมืองหลวงและเป็นทั้งศูนย์กลางทางการเงิน เศรษฐกิจ การศึกษาและการเดินทาง จากเมืองไทยมีแถวบินตรงไปยังสนามบินโดโมเดโนโว (DME) กรุงมอสโคว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 – 10 ชั่วโมง ที่เห็นว่าใช้เวลาพอๆ กับเดินทางไปยุโรป ก็เพราะความกว้างใหญ่ของประเทศรัสเซียมีพรมแดนเชื่อมต่อกับทั้งยุโรป เช่น ประเทศฟินแลนด์และยูเครน และยังเชื่อมต่อกับเอเชีย เพราะมีชายแดนติดกับจีนและมองโกเลีย

Red Square

ทำเลที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งนี้ มีแม่น้ำสายสำคัญชื่อ มัสกวา (Maskva River) เป็นเมืองที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดในยุโรป จตุรัสแดง หรือ Red Square หลักกิโลเมตรที่ศูนย์ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ฉันมั่นใจว่าสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณจัตุรัสเกินครึ่งอยู่ในลิสต์รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนของนักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น Kremlin, St. Basil Cathedral, Statue of Minin and Pozharsky, Kazan Cathedral Moscow (ชื่อซ้ำกับที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก), Lenin Mausoleum, Resurrection Gate and the Iberian Chapel และห้าง GUM

ภายในเครมลิน (4)

เครมลิน (Kremlin) เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของรัสเซียเลยก็ว่าได้ เพราะถือเป็นจุดกำเนิดแห่งประวัติศาสตร์รัสเซีย ปัจจุบันเป็นทั้งสถานที่ราชการและสถานที่รวบรวมสถาปัตยกรรมที่แสนวิจิตรบรรจงไว้มากมาย ตั้งอยู่บนเนินเขาโบโรวิสกายา ริมแม่น้ำมัสกวา สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1147 โดยเจ้าชายยูริ โดลโกกูรี วัตถุประสงค์การก่อสร้างครั้งแรกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร แต่เดิมเป็นป้อมปราการไม้ธรรมดา

ที่บอกว่าเป็นหัวใจของชาวมอสโคว เพราะตามความเชื่อแบบรัสเซียโบราณ ชาวรัสเซียเชื่อว่าที่นี่เป็นคล้ายที่สถิตของพระเจ้า ปัจจุบันภายในเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น สภาคองเกรส วิหาร รวมทั้งพิพิธภัณฑ์อาร์เมอรี่แชมเบอร์ (Armory Chamber) พิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย สถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าของกษัตริย์ ทั้งเครื่องประดับ เครื่องเพชร ทองคำ ฉลองพระองค์ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์สู้รบสมัยโบราณ ที่คงไม่ต้องเอ่ยถึงมูลค่า

นอกจากนี้ยังมี ปืนใหญ่ของพระเจ้าซาร์ (Tsar Cannon) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1586 เป็นปืนใหญ่หนัก 40 ตันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน รวมถึง ระฆังพระเจ้าซาร์ (The Tsar Bell) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกเช่นกัน กล่าวได้ว่า สิ่งก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ที่เห็นในรัสเซียเป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ซึ่งผู้มีอำนาจหรือกษัตริย์จำเป็นต้องแสดงบารมีของตนเองเพื่อข่มขวัญประเทศอื่นๆ และปกป้องอาณาเขตของตนเอง

ปืนพระเจ้าซาร์

ภายในรั้ว Kremlin ยังเป็นที่ตั้งของ Cathedral of the Annunciation, Cathedral of St.Michel the Archange และ Cathedral of The Dormition หรือโบสถ์อัสสัมชัน โบสถ์สำคัญที่ใช้ในพิธีกรรมราชาภิเษกพระเข้าซาร์และซารีน่า แม้สีสันภายนอกจะไม่ฉูดฉาด แต่จิตรกรรมและประติมากรรมภายในของแต่ละอาคารเต็มไปด้วยความประณีตและบรรจงที่ควรค่าแก่การเข้าไปเยี่ยมชมอย่างยิ่ง

เตรียมน่องท่องรัสเซีย

เที่ยวมอสโควต้องใช้ความอดทนในการเดิน อย่างที่บอกสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอยู่ละแวกเดียวกัน แต่เพราะความกว้างใหญ่ของพื้นที่ทำให้แม้สถานที่อยู่ติดกันก็ยังต้องเดินกันจนขาลาก แทนที่จะเดินลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อต่อรถจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ถ้าไม่ไกลจริง ๆ ฉันเลือกเดินชมวิวด้านบน แทนการใช้รถไฟใต้ดิน เพราะสถานีรถไฟใต้ดินที่นี่อยู่ใต้ดินจริง ๆ กว่าจะเดินลงไปแล้วเดินกลับขึ้นมาบอกได้เลยว่าเมื่อยขาพอกัน

มองหาประตูด้านข้าง Kremlin แนะนำให้เดินออกทางประตูนี้แทนประตูทางเข้า เมื่อเดินออกมาจะพบกับ มหาวิหารเซนต์บาซิล หรือโบสถ์หัวหอม (St.Basil’s Cathedral) ที่เรียกกันจนติดปาก ด้านหน้าเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์นักรบผู้กล้า คอสมา มินินและเจ้าชายดมิทริ ผู้นำกองทัพรัสเซียต่อต้านพวกโปล เมื่อปี 1612

St. Basils Cathedral (1)

 วิหารแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของรัสเซียที่กษัตริย์สั่งให้สร้างขึ้น เป็นอาคาร 8 เหลี่ยม มี 9 โดม ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด เล่ากันว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 ผู้ครองอำนาจในขณะนั้นมีคำสั่งให้ควักลูกตานักออกแบบโบสถ์ออกทั้ง 2 ข้างหลังสร้างโบสถ์สำเร็จ เนื่องจากไม่ต้องการให้นักออกแบบออกไปสร้างสิ่งก่อสร้างที่สวยงามแบบนี้ที่ไหนได้อีก นี่คงเป็นหนึ่งในที่มาของนิยามความโหดแบบรัสเซียที่ร่ำลือกัน

นอกจากสถานที่สำคัญย่าน Red Square ห่างออกมามี มหาวิหารเซนต์ซาเวียร์ (Cathedral of Christ the Saviour) โบสถ์ Orthdox โดมทองที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมอสโคว สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในสงครามนโปเลียน ปี ค.ศ. 1812 โดยพระเจ้าซาร์อเบ็กซานเดอร์ที่ 1 ใช้เวลาก่อนสร้างนานถึง 45 ปี ภายนอกว่าสง่างามน่าเกรงขามแล้ว บรรยากาศภายในยิ่งขลังและทรงพลังมาก จากมหาวิหารเดินมายังสะพานจะมองเห็นอนุสาวรีย์ Pamyatnik Petru I อยู่ทางฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายไกลออกไปมองเห็นวิว 180 องศาของพระราชวังเครมลิน

 ตามรอยศรัทธาที่ซากอร์ส

สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศหนีจากความวุ่นวายของนักท่องเที่ยวในเมืองหลวง จากมอสโคว มีเมืองเล็ก ๆ ชื่อ ซากอร์ส (Zagorsk) ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟออกไปราว 2 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย มีศาสนสถานสำคัญชื่อ เซอกิเยฟ โพสาด (Sergier Posad) ตั้งตามชื่อนักบุญคนสำคัญที่เดินทางมาแสวงบุญยังเมืองนี้ ภายในโบสถ์เก่าแก่ตกแต่งด้วยภาพนักบุญ มีแท่นประกอบพิธีของพระสังฆราชที่ยังคงสภาพดี บรรยากาศอบอวลไปด้วยมนต์ขลังด้วยพลังแห่งความเชื่อและความศรัทธา

บรรยากาศเมือง Zagorsk

ไม่ไกลจากกันเป็นที่ตั้งของ โบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Church) สร้างขึ้นเลียนแบบโบสถ์ในพระราชวังเครมลิน ภายนอกเป็นอาคารสีขาว มียอดโดมสีน้ำเงินอมฟ้า และลวดลายดวงดาวสีทอง 5 ยอด ส่วนโดมตรงกลางเป็นสีทอง ด้านหน้าโบสถ์อัสสัมชัญมีอาคาร 3 ชั้นสีแดงที่ตั้งของสุสานพระเจ้าซาร์และครอบครัว

หอะฆัง (Bell Tower) ที่สร้างขึ้นในสมัยพระนางแคเธอรีนมหาราช ดูเหมือนจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงและเห็นได้ชัดเจนที่สุดในเมืองนี้ สมกับพระประสงค์ของพระนางที่ต้องการสร้างให้โดดเด่นเหมือนหอระฆังที่จตุรัสวิหารพระราชวังเครมลิน แต่ที่นี่สร้างขึ้นสูงกว่า มีความสูงถึง 98 เมตร นอกจากนี้ยังมี บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Chepel – over – the - Well)  ซึ่งเล่าขานต่อกันมาว่า มีชายตาบอดบังเอิญมาล้างหน้าด้วยน้ำจากบ่อน้ำแห่งนี้ ทำให้ตาที่บอดกลับมามองเห็นอีกครั้ง

น้ำในบ่อที่ซึมขึ้นมาเองตามธรรมชาติจึงถูกผูกโยงกับความเชื่อนี้และเป็นที่ต้องการของผู้คนจำนวนมาก ด้วยเชื่อว่าหากนำน้ำมาดื่มกินจะเป็นมงคลและรักษาโรคภัยได้ ทางโบสถ์จึงต่อน้ำจากตาน้ำขึ้นมาเป็นน้ำพุ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ติดตัวกลับไปได้ น่าแปลกใจดีเหมือนกันที่แม้แต่ทางยุโรปก็ยังมีความเชื่อคล้ายๆ กับบ้านเรา

 

สำหรับมือใหม่หัดไปรัสเซีย ข้อมูลและสถานที่เหล่านี้คือ the must แต่ยังไม่ใช่ the end เพราะยังมีอีกหลายเมืองที่น่าสนใจ และรัสเซียแต่ละฤดูกาลก็สร้างความรู้สึกประทับใจแตกต่างกัน

ใครเคยได้ยินคำบอกเล่าถึงความโหดและความน่ากลัว ขอให้ลองมาสัมผัสเอง แล้วจะรู้ว่า...ภายใต้ความเคร่งขรึมของผู้คนที่นิ่งปนขึงขัง มักจะสิ้นสุดลงด้วยบทสนทนาที่สนุกและมีอารมณ์ขันเมื่อได้คุย

ท่ามกลางความสง่างามของสถาปัตยกรรมที่โอ่โถง รัสเซียยังแฝงไว้ด้วยพลังและความลึกลับที่ชวนให้ละเมอเพ้อถึงการไปเดินทางไปเยือนครั้งต่อไปได้เสมอ...

  IMG_6476

 

บัญญัติ 5 ประการเมื่อไปรัสเซีย

ความเป็นระเบียบ ความสง่างามและความเคร่งขรึมของสถาปัตยกรรมต่างๆ ในรัสเซีย แฝงไว้ด้วยความอ่อนละมุนผ่านงานศิลปะและผู้คนที่เป็นมิตร แต่ภาษาก็ยังเป็นอุปสรรค 8 ข้อต่อไปนี้รู้แล้วจะช่วยให้การเดินทางในรัสเซียราบรื่นและง่ายขึ้นมาก

1.ตรวจคนเข้าเมืองแบบชิล ๆ

การตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เจ้าหน้าที่อาจใช้เวลาส่องดูพาสปอร์ตนานหน่อย พลิกแล้วพลิกอีก ส่องแล้วส่องอีก ดูหน้าแล้วดูหน้าอีก อาจเจอคำถามทำนองว่า มาจากไหน มาทำไม ไปไหนบ้าง? แล้วก็อาจถามซ้ำคำถามเดิมให้งงเล่น เอาเป็นว่าถามอะไรก็ตอบ ถามซ้ำก็ตอบเหมือนเดิม “I’m from Bangkok, Thailand.” – “I am travelling to Moscow/ St. Petersburg.” เป็นต้น

 2.ท่องจำขึ้นใจสถานีรถไฟมอสโควอยู่ที่เซ็นปีเตอร์สเบิร์ก

การเดินทางระหว่างเซ็นปีเตอร์สเบิร์ก และมอสโคว ด้วยรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สิ่งที่ต้องจำอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้สับสน คือ ชื่อสถานีรถไฟ เราขึ้นรถไฟความเร็วสูงจากเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไปมอสโคว ที่สถานี Moscow: Moskovskaya (มัสโคฟสกายา) หรือ Moskovsky (มอสคอฟสกี้) ที่ตั้งอยู่ใกล้ห้าง Galeria รถไฟความเร็วสูงจะวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางที่สถานี Leningradskaya (เลนินกราดสกายา) หรือ Leningradsky (เลนินกราดสกี้) กรุงมอสโคว

3. รถไฟโมเดิร์นVS รถไฟคลาสสิค

รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งไปมาระหว่างเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กกับมอสโคว มี 2 แบบ แบบแรกเป็นรถไฟหัวกระสุน ชื่อ Sapsan (ซับซาน) เปิดให้บริการครั้งแรกเดือนธันวาคม ปี 2009 อีกแบบ Nevsky Express โบกี้รถไฟหน้าตาคล้ายๆ รถไฟบ้านเรา เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2001 รถไฟ Sapsan มีให้บริการทุกชั่วโมง ส่วน Nevsky Express ปกติจะมีแค่วันละ 1 เที่ยวเท่านั้น รถไฟทั้ง 2 แบบ เป็นรถไฟความเร็วสูงเหมือนกัน Nevsky Express วิ่งช้ากว่าเล็กน้อยไม่เกิน 30 นาที ชอบแบบไหนเข้าไปจองกันได้ที่เว็บไซต์ทางการ pass.rzd.ru มีเมนูภาษาอังกฤษ จองผ่านเว็บไซต์นี้ได้ราคาดีกว่าจองผ่านเอเจนซี่และเว็บไซต์ขายตั๋วอื่น ๆ

 4. ถนนสายสำคัญของมอสโควที่มุ่งสู่Red Square คือ Tverskayaถนนเส้นนี้จึงเหมาะเป็นเส้นปักหมุดสำหรับหาที่พักในมอสโควด้วยเช่นเดียวกัน

 5. ราคาแท็กซี่มิเตอร์ในรัสเซียแพงมากถ้าจะให้ดีโหลดแอพ Uber ไปใช้ ราคาถูกกว่าเกือบ 10 เท่า แต่ต้องทำใจหน่อย เพราะคนขับรถส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ การถามทางและบอกทางอาจชวนสับสน งุนงง แต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่สะดวกมากๆ หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งรถไฟใต้ดิน ส่วนใครที่โปรดปรานการนั่งรถไฟใต้ดินถิ่นมอสโคว แนะนำให้โหลดแอพพลิเคชั่น Yandex Metro ติดมือถือไว้ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง