เสียงของความเงียบใน A Quiet Place

เสียงของความเงียบใน A Quiet Place

ไม่ใช่แค่เสียงที่ทำให้เราหวาดหวั่น เพราะสภาวะ "ไร้เสียง" กลับทำให้เราประสาทเสียได้มากกว่า โดยเฉพาะครอบครัวหนึ่งที่กลางป่า ถ้าไม่อยากตาย พวกเขาจำเป็นต้อง "เงียบ"

A Quiet Place เล่าเรื่องราวที่ขับเคลื่อนโดยการคุกคามหนึ่งเดียว นั่นคือสัตว์ประหลาดที่พร้อมเล่นงานพวกเขาได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียง

ครอบครัวนี้อาศัยอยู่กันอย่างโดดเดี่ยวในป่า พวกเขาดำเนินชีวิตแต่ละวันด้วยความเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูด สื่อสารด้วยภาษามือ เดินเท้าเปล่า แม้กระทั่งเล่นเกมเศรษฐีด้วยตัวหมากที่ทำด้วยสำลี

เมื่อตัวละครต้องเงียบเพื่อความอยู่รอด การออกแบบเสียงจึงกลายเป็นเรื่องใหม่ ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่างถูกสร้างสรรค์จากเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ บนพื้น เสียงฝีเท้าบนทราย หรือแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้น การสร้างสรรค์ด้วยเสียง และบ่อยครั้งก็ไม่มีเสียง เป็นไอเดียที่ทำให้ จอห์น คราซินสกี ทำหนังเรื่องนี้ และยังแสดงนำในหนังร่วมกับภรรยาของเขา เอมิลี บลันท์

“ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่หนังมีเสียงตลอดเวลา มีเสียงระเบิดมากมาย” คราซินสกี บอก “ผมรักหนังเหล่านี้นะ แต่มีบ้างที่รู้สึกว่าถูกเสียงจู่โจม ผมคิดว่า แล้วถ้าหากเอาเสียงพวกนี้ออกไปทั้งหมดเลยล่ะ มันจะทำให้รู้สึกอึดอัด ตึงเครียดหรือเปล่า”

ในการทำให้ความเงียบน่ากลัวนั้น คราซินสกี จับมือกับ อีธาน แวน เดอร์ เรน และ อีริค อาดาห์ล ทีมตัดต่อเสียงที่เคยมีประสบการณ์ในหนังอย่าง Godzilla และ Transformers แต่ก็สนใจในการลดเสียงลงมากกว่า พวกเขาได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวหุ้มเสียง’ (sound envelopes) ที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจสถานการณ์ของแต่ละตัวละครผ่านการได้ยินสิ่งที่พวกเขาได้ยิน และวิธีที่พวกเขาอาจได้ยิน

Millicent-Simmonds

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ "เรแกน" ลูกสาวคนโตที่รับบทโดย มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส นักแสดงที่หูหนวกจริงๆ

ตัวละคร เรแกน มีเครื่องช่วยฟังที่ทำให้เธอได้ยินเสียงในระดับที่เล็กมากๆ เธอมีสัมผัสทางร่างกายที่ไวยิ่งกว่าการฟัง ในส่วนนี้ ทีมตัดต่อต้องการเลียนแบบความรู้สึกของห้องไร้เสียงสะท้อน (anechoic chamber) ที่จะดูดซับเสียงจนทำให้เสียงดังที่สุดคือเสียงจากในร่างกายของคุณเอง

เมื่อ เรแกน เอาเครื่องช่วยฟังออก เราก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ความเงียบบนจอที่แท้จริง นั่นเป็นไอเดียที่ คราซินสกี ถกเถียงกับเพื่อนร่วมงานของเขา

“เราคิดว่า มันมากไปไหม คนดูจะมองว่านี่เป็นการทดลองเรื่องเสียงมากกว่าจะเป็นหนังหรือเปล่า”ท เขาบอก แต่เขาก็จำบทสนทนาที่เคยมีกับฝ่ายการตลาดของหนังอีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ความเข้าใจผิดที่สุดเกี่ยวกับตัวผู้ชมคือการคิดว่าพวกเขาโง่

“ผมจึงตัดสินใจก้าวกระโดดไปเลย ผมว่าถ้ารู้สึกกังวลว่าคนดูจะไม่เข้าใจ แสดงว่าผมอาจจะกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ก็ได้”

aquietplace

A Quiet Place ไม่ใช่หนังที่มีดีแต่เรื่องความเงียบ มันยังมีองค์ประกอบที่แฟนหนังสยองขวัญรู้จักเป็นอย่างดี อย่างเสียงชวนสะดุ้ง และบางครั้งก็กระแทกด้วยดนตรีประกอบจาก มาร์โก เบลทรามี แต่ถึงอย่างนั้น ตัวหนังก็ต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาอยู่เหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น เมื่อสัตว์ประหลาดมารอบๆ พวกเขาสื่อสารกันผ่านเสียงคลิก “เพราะสัตว์ประหลาดนั้นตาบอด เราได้รับแรงบันดาลใจมาจากไอเดียในการใช้เสียงสะท้อนในสัตว์อย่าง ค้างคาว” แวน เดอร์ เรน บอก “ดังนั้น พวกเขาจึงมีคลื่นเสียงเฉพาะตัวที่สามารถส่งออกไปยังพื้นที่หนึ่ง และรอฟังการสะท้อนของพื้นที่รอบๆ ตัวพวกเขา”

เสียงที่สะท้อนกลับมา - เป็นเหมือนเสียงหอนของแอมป์ในคอนเสิร์ตเมื่อไมโครโฟนเข้าไปอยู่ใกล้ๆ  ได้ถูกเรียงร้อยจนเป็นเสียงบรรยาย ปกติแล้วความไม่ราบรื่นของมันคือสิ่งที่ทีมตัดต่อเสียงมักหลีกเลี่ยง แต่สำหรับเรื่องนี้ มันกลายเป็นความท้าท้ายเฉพาะที่ถูกรวมเอาไว้อยู่ด้วย

“เรามีเสียงสะท้อนกลับมาเป็น 100 เวอร์ชันที่แตกต่างกัน” คราซินสกี บอก “สองสามเวอร์ชันแรก อาจทำให้คุณอาเจียนได้เลย ดังนั้นมันจึงเป็นกระบวนการยาวนานกว่าจะหาเสียงที่ลงตัวได้”

หลังจากผ่านช่วงของการผลิตเสียงแต่ละเสียงร่วมกับผู้กำกับแล้ว ทีมเสียงก็ได้สร้างเสียงสะท้อนเฉพาะที่ไม่ลดความดังจนทำให้ร่างกายรับไม่ไหว แต่ก็ยังอาจทำให้ผู้ชมสะดุ้งได้

“เรามีพื้นที่เงียบๆ ในหนังมากพอที่จะสร้างความสงบเงียบ ที่ซึ่งเรารู้สึกว่าสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้อีกสักหน่อย” อาดาห์ล บอก

แล้วในฉากที่ถ่ายทำนั้นเงียบสนิทจริงๆ หรือไม่? ช่วงเวลาที่เงียบบ่อยๆ ได้กลายเป็นตัวควบคุมการจัดการสิ่งต่างๆ ในระหว่างการถ่ายทำ แม้ว่าจะไม่ใช่ตั้งแต่แรกก็ตาม ก่อนถ่ายทำ คราซินสกี ไม่ยอมมีคนอ่านบทมากนัก เราแบ่งเครดิตของหนังให้กับ ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบค ด้วย ทั้งสองคนได้ยินว่ามันเป็นหนังเงียบ และนึกเอาว่าดนตรีประกอบอาจถูกใส่เข้ามาในเกือบทุกซีน หรือเสียงทั้งหมดอาจถูกเพิ่มมาในช่วงหลังการถ่ายทำ

“ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นทีมงานที่เสียงดังที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาในช่วง 4 – 5 วัน” คราซินสกี บอก

“เราเรียนรู้ร่วมกันว่า ความเงียบเป็นสิ่งจำเป็นขนาดไหน อย่าง คุณห้ามขยับเลยเพราะเราต้องการเสียงของห้อง เราต้องการเสียงลมหายใจผ่านต้นไม้ เราต้องการข้าวโพด เราต้องการโรงนา ไม่ใช่แบบ เออ เดี๋ยวใส่เสียงโรงนาไปทีหลัง”

“และแทนที่ทีมงานจะหงุดหงิดกับการไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันในฉาก พวกเขากลับยอมรับมันแต่โดยดี และคิดว่า เรากำลังร่วมกันสร้างสิ่งที่พิเศษมากๆ อยู่ที่นี่ ตอนนี้”